เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 6 กรกฎาคม พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผบช.น. พร้อมด้วย พ.ต.อ.ธนกรณฑ์ ก้อนแก้ว ผกก.สน.สายไหม และเจ้าหน้าที่ตำรวจสน.สายไหม ได้เดินทางมาประชุมและติดตามความคืบหน้าคดี เหตุวิวาทในปั้มน้ำมันเรื่องห้ามสูบบุหรี่ ทำพ่อค้าน้ำมันเก่าฉุนทำร้าย ตร.ก่อนสกัดแล้วนำตัวมาที่สน.สายไหม พล.ต.ท.ศานิตย์ เปิดเผยว่า วันนี้ตนเดินทางมาตรวจสอบรายละเอียดของคดีดังกล่าว โดยประการที่ 1 ตนพร้อมให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ประการที่ 2 เดินทางมาให้กำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีความอดทนอดกลั้นในการปฏิบัติหน้าที่ พ.ต.อ.ธนกรณฑ์ เปิดเผยว่า ขณะตนจากงานศพที่วัดพระศรีรัตนศาสดารามได้ยินเสียงวอสกัดจับรถยนต์บริเวณ ถ.ถนนเทพารักษ์ ( วัชรพลตัดใหม่ ) ซึ่งเป็นเส้นทางที่ตนเดินทางมาพอดี จากนั้นเห็นรถคันดังกล่าวจึงได้ให้คนขับรถของตนขับรถปาดด้านหน้าเพื่อไม่ให้หลบหนี จากนั้นก็ได้เรียกให้ลงมาจากรถเพื่อทำการซักถาม เมื่อลงมาก็อยู่ในอาการมึนเมา จะเข้ามาทำร้ายตนแต่ลูกน้องของตนเข้ามากันไว้ จึงกลุ่มผู้ต้องหาก็ได้จะทำร้ายลูกน้องของตนตนจึงได้เข้าห้าม แต่ด้วยความที่พวกตนมี 4 คน และกลุ่มผู้ก่อเหตุมี 5 คนตนจึงได้ประสานให้เจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ เจ้าหน้าทหารพูดคุย โดยใช้เวลาอยู่ตรงนั้นเวลาประมาณ 45 นาที ก่อนจะถูกควบคุมตัวมาที่สน.สายไหม อย่างไรขอยืนยันว่าไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปรวมทำร้ายร่างกายกลุ่มผู้ต้องก่อเหตุแต่อย่างใด ด้านด.ต.ธวัช สายเสมา อายุ 44 ปี ผบ.หมู่ ฝ่ายป้องกันและปราบปราม สน.สายไหม เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ถูกทำร้าย เปิดเผยว่า ขณะที่ตนกำลังปฏิบัติหน้าที่ได้รับแจ้งว่ามีเหตุทะเลาะวิวาทภายในปั๊มน้ำมันบางจาก ถ.สุขาภิบาล 5 ซ.17 แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กรุงเทพ จึงได้ไปกับด.ต.วสุ ธนิชารุ่งเกษม ผบ.หมู่ป. สน.สายไหม เพื่อเข้าระงับเหตุ เมื่อไปถึงปั๊มพบกลุ่มคนดังกล่าวยืนโต้งเถียงกันอยู่กับคนดูแลปั๊มเรื่องการสูบบุหรี่ภายในปั๊ม ต่อมา 1 ในนั้นทราบชื่อต่อมานายโสภณ โกสินทร์ อายุ 36 ปี พยายามจะขับรถกระบะนิสสัน รุ่นฟรอนเทียร์ สีทอง หมายเลขทะเบียน ปพ 6910 กรุงเทพมหานคร ด้านหลังบรรทุกน้ำมันเก่า ตนเกรงว่าถ้าปล่อยให้ออกไปจะเป็นอันตรายต่อผู้ใช้รถคนอื่นๆ จึงเข้าไปดึงกุญแจออกมา แต่กลับเป็นว่า ถูกนายโสภณ ชกเข้าที่คิ้วขวา 1 ครั้ง หลังจากนั้นคนอื่นๆกอื่นๆก็เข้ามาจนเกิดการชุลมุนกันขึ้น ตนเห็นท่าไม่ดีจึงถอยออกมา ทันใดนั้นมีอะไรมากระแทกที่ต้นคอด้านซ้ายจนทำให้ตนสลบไป มื่อฟื้นขึ้นมาพบว่าบัตรประจำตัวข้าราชการและโทรศัพท์ได้หายไปด้วย หลังจากตั้งสติได้ ตนจึงวิทยุให้ช่วยสกัดจับ พบรถคันดังกล่าวบริเวณ ถ.ถนนเทพารักษ์ ( วัชรพลตัดใหม่ )แยกลานกีฬา รามอินทรา จึงรุดไปตรวจสอบและเข้าสกัดจับ แต่กลุ่มนายโสภณ ยังอาละวาดไม่หยุด อีกทั้งยังเอาโทรศัพท์โยนทิ้งป่าหญ้าข้างทาง หลังจากนั้นมีเจ้าหน้าที่ทหาร และอาสาสมัครกู้ภัย อปพร.สายไหม อาสาสมัครกู้ภัยสยามรวมใจ เข้าร่วมสังเกตุการณ์ ซึ่งขณะนั้นกลุ่มนายโสภณได้อาละวาทด่าทอ ทุกคนที่อยู่ละแวกนั้น จนทำให้คนแถวนั้นหมั่นไส้ เจ้าหน้าที่ทหารจึงรีบควบคุมตัวมาที่สน.สายไหม ด้านน.ส.เอ(นามสมมุติ) อายุ17ปี พนักงานปั๊ม กล่าวว่าก่อนเกิดเหตุกลุ่มคนร้ายได้ขับขี่เข้ามาภายในปั๊มเพื่อต้องการจะเติมนำมันที่หัวจ่ายที่6 เมื่อเปิดกระจกรถพบเห็นคนภายในรถสูบบุหรี่ จึงเตือนและบอกว่าถ้าหากไม่เลิกสูบบุหรี่จะไม่เติมน้ำมันให้เพื่อความปลอดภัย ทางกลุ่มคนร้ายจึงเกิดความไม่พอใจ ก่อนจะเปิดฝากระโปรงรถพร้อมกับบอกว่า "งั้นขอซ่อรถแทน หม้อน้ำเสีย" โดยระหว่างกาซ่อมก็มีการสูบบุหรี่ไปด้วย ตนดูท่าทางไม่เป็นมิตรจึงเดินหนีและแจ้งเจ้าหน้าที่ เมื่อเจ้าหน้าที่มาถึงกลุ่มคนร้านยิ่งไม่พอใจหนักกว่าเดิม และมีการด่าเจ้าหน้าที่อย่างสาดเสียเทเสีย จากนั้นมีฝ่ายผู้ต้องหามีการถ่ายคลิปพร้อมกับพูดว่า "มึงผลักกูหรอ" ต่อมากลุ่มคนร้ายจะพยายามขับรถหนีและเกือบชนเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ยืนขวางอยู่ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงดึงกุญแจรถออกมา คนร้ายจึงเปิดประตูลงจากรถและเตะก้านคอจนเจ้าหน้าที่ล้มทั้งยืนก่อนจะเตะหน้าซ้ำอีกหนึ่งครั้ง และขับรถหลบหนีไป ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวนายปกรณ์ 1ในผู้ต้องหาที่ก่อเหตุมาสอบสวนต่อหน้าสื่อมวลชน ซึ่งนายปกรณ์ กล่าวว่า ตนเพิ่งปลดทหารและมาเป็นลูกจ้างขนน้ำมันซึ่งก่อนเกิดเหตุตนไม่ได้สูบบุหรี่แต่แค่ใช้บุหรี่ทัดไว้ที่หูเท่านั้น โดยตนไม่ทราบว่าเพื่อนทะเลาะอะไรกับเจ้าหน้าที่ แต่เมื่อมาถึงที่สน.สายไหม ตนโดนผลักหน้าอกจึงเกิดความโมโหและก่อเหตุดังกล่าว ด้าน นายสัมพันธ์ ทับหิรัญ อายุ 47 ปี น้าชายของนายโสภณ กล่าวว่า จากการสอบถามหลานชายถึงเหตุการณ์เมื่อวานที่ผ่านมาทราบว่าก่อนเกิดเหตุหลานชายและกลุ่มเพื่อนได้ไปเติมน้ำมันที่ปั้มดังกล่าว แต่ถูกตำหนิจากเด็กปั้มว่าห้ามสูบบุหรี่ หลานชายและพวกจึงขออนุญาตใช้สถานที่ซ่อมรถแทนเนื่องจากรถมีปัญหาเกี่ยวกับหม้อน้ำไม่สามารถขับต่อไปได้ แต่ระหว่างนั้นทางเจ้าของปั้มได้เดินเข้ามาต่อว่าด้วยถ้อยคำรุนแรงและพูดจาดูถูกจึงเกิดการโต้เถียงกันขึ้น ก่อนที่ทางเจ้าของปั้มจะให้พนักงานโทรศัพท์แจ้งตำรวจ พอทันทีที่เจ้าหน้าที่มาถึงก็ได้เดินไปที่รถแล้วถามหลานชายตนเองว่า “รู้ไหมว่าตนเป็นใคร”พร้อมกับทำการดึงกุญแจรถออกไป จึงเกิดการโต้เถียงกันขึ้นอีกระหว่างกลุ่มหลานขายของตนกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจนกระทั่งมีการลงไม้ลงมือกันขึ้น แต่ยืนยันว่าเหตุการณ์ดังกล่าวทางเจ้าหน้าที่เป็นคนเริ่มใช้ความรุนแรงก่อน ทั้งนี้ต่อมาระหว่างที่กำลังทะเลาะกันยู่นั้นก็ได้มีเจ้าหน้าที่อาสาสมัครกู้ภัยมูลนิธิหนึ่งเข้ามาช่วยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ จนทำให้กลุ่มขงหลานชายตนเกิดการกระทบกระทั่งกับทางกลุ่มของเจ้าหน้าที่อาสากู้ภัยฯขึ้นมาอีก ก่อนจะแยกย้ายกันไป แต่ทางกลุ่มเจ้าหน้าที่อาสากู้ภัยฯไม่ยอมจบ ตามมาที่โรงพักอีก ก่อนที่จะมีการดักรอทำร้ายกลุ่มของหลานชายที่บริเวณด้านหน้าโรงพักในช่วงเวลาต่อมา ทั้งนี้ระหว่างที่เกิดเหตุหน้าโรงพักนั้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกลับไม่ปฏิบัติหน้าที่เข้ามาช่วยควบคุมสถานการณ์เท่าที่ควร จะมีก็เพียงเจ้าหน้าที่ทหารส่วนใหญ่ที่คอยเข้ามาควบคุมสถานการณ์ ก่อนที่กลุ่มเจ้าหน้าที่อาสาสมัครกู้ภัยฯจะแยกย้ายกันหลบหนีไปได้หมด ทั้งๆที่ระหว่างเกิดเหตุนั้นทาง ผกก.สน.สายไหม ก็ยืนอยู่ในที่เกิดเหตุและเห็นเหตุการณ์หมดทุกอย่าง กลับกลายเป็นกลุ่มของหลานชายตนเท่านั้นที่ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมตัว นายสัมพันธ์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ภายหลังจากที่หลานชายของตนถูกรุมทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้วนั้น ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกลับไม่ยอมให้ญาติทำการแจ้งวามเอาผิดกับทางกลุ่มผู้ที่รุมทำร้ายในทันที แต่ให้มาติดต่อใหม่อีกครั้งในวันต่อมาแทน นอกจากนี้ทางเจ้าหน้าที่ยังไม่ยอมให้หลานชายของตนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลก่อน ทั้งๆที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส กลับให้ทำการรักษาในเบื้องต้นก่อนนำตัวกลับมาคุมขังที่โรงพักต่อ แล้วส่งไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลอีกครั้งในช่วงเช้าอีกครั้งแทน อย่างไรก็ตามการที่ตนออกมาเรียกร้องนั้นก็เพื่อขอความเป็นธรรมในส่วนของการที่หลานชายตนถูกรุมทำลายที่บริเวณด้านหน้าโรงพักเพียงเท่านั้น ส่วนเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ตนก็พร้อมที่จะยอมรับและว่ากันไปตามข้อเท็จจริง ส่วนลักษณะนิสัยหลานชายของตนนั้น ตนยืนยันเค้าเป็นคนดี เป็นคนขยันทำมาหากิน ไม่ใช่วัยรุ่นเที่ยวเตร่ เสพยาเสพติด เหมือนกับที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสงสัย แต่ยอมรับว่าเป็นคนใจร้อน ไม่ยอมคนหากไม่ได้ทำผิด เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งคัดค้านการประกันตัวในชั้นพนักงานสอบสวน พร้อมข้อหานายโสภณ โกสินทร์ อายุ 36 ปี นายรัตนเทพ ชัยปราณีเดช อายุ 21 ปี นายปกรณ์ ชูวงค์ อายุ 24 ปี และนายสิทธิชัย โสลุน อายุ 24 ปี ในข้อหา "ดูหมิ่นเจ้าพนักงาน", "ต่อสู้และขัดขว้างการจับกุม" , "ใช้กำลังประทุษร้ายเจ้าพนักงาน" , "ลักทรัพย์" , "ข่มขืนใจเจ้าพนักงาน" ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ทั้งนี้กลุ่มผู้ก่อเหตุดังกล่าวเป็นสมาชิกของแก๊ง "ยันหว่าง" ซึ่งเป็นกลุ่มวัยรุ่นที่มีการรวมตัวกันในพื้นที่และเคยก่อเหตุยิงคนตายมาแล้วที่ซอยสายไหม34 เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งจากการตรวจสอบประวัติทั้ง4 คนพบว่านายโสภณ เคยมีประวัติเมาแล้วขับ ทำลายทรัพย์สิน และขัดขวางการจับกุมมาแล้ว4 ครั้ง ส่วน3 คนที่เหลือไม่พบประวัติการกระทำความผิดแต่อย่างใด