คืบคลานใกล้เข้ามาทุกขณะ สำหรับ การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2020 ที่ใกล้จะมีขึ้นในวันอังคารที่ 3 พ.ย.นี้ ท่ามกลางสถานการณ์และบรรยากาศการรณรงค์หาเสียงเป็นไปอย่างดุเดือด ระหว่างสองผู้สมัครรับเลือกตั้งคนสำคัญ อันได้แก่ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เจ้าของตำแหน่งและเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกัน กับอดีตรองประธานาธิบดีโจ ไบเดน สมัยบารัก โอบามา ตัวแทนจากพรรคเดโมแครต ที่เปรียบเสมือนผู้ท้าชิง โดยเหลือเวลาเพียง 20 วัน เท่านั้น ก็จะได้รู้หมู่ รู้จ่า ว่า ใครจะได้เข้าไปสู่ทำเนียบขาว ในฐานะผู้ชนะการเลือกตั้ง เมื่อสถานการณ์และบรรยากาศการรณรงค์หาเสียงเข้มข้นตามที่กล่าวแล้วข้างต้น ก็ส่งผลให้บรรดากองเชียร์ ต่างลุ้นกันหนัก เพื่อให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งที่พวกเขาให้การสนับสนุน คว้าชัยในการเลือกตั้งที่ใกล้จะมีขึ้นนี้ให้จงได้ ทั้งนี้ ในส่วนของผู้สนับสนุน นอกจากประชาชนชาวอเมริกัน ซึ่งมีส่วนได้ ส่วนเสีย โดยตรงแล้ว ที่นับว่าสนใจเพราะเกี่ยวข้องกับสหรัฐฯ แบบเป็นคู่สงคราม สู้รบกันมานานถึง 19 ปี นั่นคือ “กลุ่มตาลีบัน” อันเป็นขบวนการที่ถูกยกให้เป็นกลุ่มก่อการร้ายอิสลามหัวรุนแรง ที่บรรดาชาติมหาอำนาจตะวันตกตีตรากาหัวไว้ เคลื่อนไหวอยู่ในประเทศอัฟกานิสถาน เป็นฐานที่มั่น ก็ได้ปรากฏว่า แสดงทรรศนะถึงการสนับสนุน หรือพูดง่ายๆ ว่า “เลือกข้าง” ต่อผู้สมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในครั้งนี้ด้วย โดยเป็นระดับแกนนำของกลุ่มตาลีบันที่ออกมาแสดงทรรศนะของการเลือกข้างครั้งนี้ เป็นโฆษกของทางกลุ่ม คือ นายซาบีฮุลเลาะฮ์ มูจาฮีด ได้ออกมาระบุว่า ทางกลุ่มตาลีบัน ให้ความสนับสนุนต่อประธานาธิบดีทรัมป์ คือ เชียร์ให้นายทรัมป์ ชนะเลือกตั้ง ได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกสมัย เช่นเดียวกับแกนนำระดับอาวุโสของกลุ่มตาลีบันอีกรายหนึ่ง ซึ่งไม่เปิดเผยชื่อ ก็ได้ออกมาแสดงความสนับสนุนต่อประธานาธิบดีทรัมป์ ให้ชนะเลือกตั้งเหนือนายไบเดน ในเดือน พ.ย.นี้ พร้อมกันนี้ ทางโฆษกของกลุ่มตาลีบัน ยังแสดงทรรศนะอีกว่า ตนเชื่อว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ จะสามารถเอาชนะนายไบเดน ในการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นได้ เหตุปัจจัยที่ทำให้เหล่าแกนนำระดับสูงของตาลีบัน ออกมาส่งเสียงเชียร์ต่อนายทรัมป์ ให้ได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกสมัยข้างต้น ก็เพราะมั่นใจในนโยบายของนายทรัมป์ ในเรื่องเกี่ยวกับสงครามอัฟกานิสถาน ที่เขาต้องการ “ถอนทหารสหรัฐฯ ออกจากอัฟกานิสถาน” อันเป็นสมรภูมิที่สหรัฐฯ นำกองทัพชาติพันธมิตร ในการสู้ศึกกับกลุ่มตาลีบัน ที่ดำเนินมาตั้งแต่ปี 2544 หรือตั้งแต่หลังเกิดเหตุวินาศกรรม 11 ก.ย. 2544 เป็นต้นมา นั่นเอง ซึ่งเป็นสงครามโค่นล้มกลุ่มตาลีบันที่ปกครองอัฟกานิสถานในเวลานั้น พร้อมๆ กับการกวาดล้างขบวนการก่อการร้ายอิสลามหัวรุนแรงอัลกออิดะฮ์ ที่มีนายอุสมะฮ์ บิน ลาเดน เป็นผู้นำขบวนการ ที่ใช้ขุนเขาและหลืบถ้ำของอัฟกานิสถาน เป็นสถานที่กบดาน พร้อมกับใช้เป็นสถานที่บัญชาการด้านการก่อการร้าย ในเหตุวินาศกรรมต่างๆ โดยเมื่อกล่าวเปรียบเทียบระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์ กับอดีตรองประธานาธิบดีไบเดน ในนโยบายเกี่ยวกับตาลีบันแล้ว ต้องบอกว่า แตกต่างกัน ซึ่งประธานาธิบดีทรัมป์ มีนโยบายที่จะถอนทหารตามที่กล่าวข้างต้น ส่วนรองประธานาธิบดีไบเดน มีแนวโน้มที่จะให้คงกำลังทหารไว้ในอัฟกานิสถาน ถึงขนาดเคยกล่าวเมื่อ ก.ค.ที่ผ่านมาว่า ไม่ต้องการให้กลุ่มตาลีบันหวนกลับมามีอำนาจในอัฟกานิสถาน มิเช่นนั้นความพยายามและความรับผิดชอบของสหรัฐฯที่มีต่ออัฟกานิสถานตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาก็จะเสียเปล่า ล่าสุด เมื่อเร็วๆ นี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ ก็ได้โพสต์ข้อความลงในทวิตเตอร์บัญชีชื่อของเขาว่า จะถอนทหารสหรัฐฯ ผู้กล้าหาญทั้งทหารชาย และทหารหญิง อีกจำนวนหนึ่ง ออกจากอัฟกานิสถาน ให้กลับมาฉลองกับครอบครัวในช่วงเทศกาลคริสต์มาสที่จะถึงนี้ ทั้งนี้ เมื่อกล่าวถึงจำนวนทหารสหรัฐฯ ในอัฟกานิสถานแล้ว ณ เวลานี้ ก็เหลือจำนวนราวกว่า 5,000 นาย จากเดิมที่เคยมีประจำการในช่วงที่ผ่านมามากถึง 13,000 นาย โดยมีแนวโน้มว่า สหรัฐฯ จะถอนทหารทั้งหมดพ้นดินแดนอัฟกานิสถาน ตามนโยบายของนายทรัมป์ และทางตาลีบันก็วาดหวังไว้อย่างนั้นด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ดี ทันทีที่ทางกลุ่มตาลีบันส่งเสียง ทางทีมงานโฆษกด้านการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งของประธานาธิบดีทรัมป์ คือ นายทิม เมอร์ทาห์ ออกมากล่าวเชิงแบ่งรับ แบ่งสู้อย่างทันควันว่า กลุ่มตาลีบันไม่ได้สนับสนุนประธานาธิบดีทรัมป์ และประธานาธิบดีทรัมห์ก็มิได้สนับสนุนกลุ่มตาลีบัน โดยการถอนทหารออกจากอัฟกานิสถาน ก็เป็นนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่ต้องการปกป้องชาวอเมริกันและผลประโยชน์ของชาวอเมริกัน นั่นเอง ทั้งนี้ การออกมากล่าวของทีมโฆษกรณรงค์หาเสียงข้างต้น ก็เพื่อป้องกันชาวอเมริกันเข้าใจผิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์กับกลุ่มก่อการร้ายที่ชื่อตาลีบัน อย่างไรก็ตาม เมื่อกล่าวถึงทรรศนะของชาวอเมริกันแล้ว ก็ต้องนับว่า เป็น “คุณ” ต่อประธานาธิบดีทรัมป์ ในประเด็นเรื่องการถอนทหารออกจากอัฟกานิสถานอยู่มิใช่น้อย เพราะในการสำรวจความคิดเห็นหรือโพลล์ ชาวสหรัฐฯ โดยมูลนิธิกลุ่มยูเรเซีย เมื่อช่วงกลางเดือนที่แล้ว ปรากฏว่า จำนวนถึง 2 ใน 3 ของชาวอเมริกันกลุ่มตัวอย่างที่ตอบแบบสอบถาม เห็นพ้องนโยบายถอนทหารและยุติสงครามอัฟกานิสถาน รวมถึงบรรลุข้อตกลงสันติภาพกับตาลีบัน ใช่แต่เท่านั้น ไม่น่าเชื่อแต่ก็ต้องเชื่อว่า ในจำนวนกลุ่มตัวอย่างที่ตอบแบบสอบถามสนับสนุนประธานาธิบดีทรัมป์ในประเด็ฯดังกล่าวจำนวนเกือบร้อยละ 60 เป็นกองเชียร์ของพรรคเดโมแครต