ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสันติ กีระนันทน์ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อพรรคพลังประชารัฐ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวระบุว่า...
อุดมการณ์ เหตุผล และอารมณ์ ในปี 2516 ผมเรียนหนังสือชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 (ตอนนั้น ประถมศึกษา ต้องเรียน 7 ปี แล้วจึงเรียนมัธยมศึกษาอีก 5 ปี ก่อนจะเข้าสู่ระดับอุดมศึกษา) เกิดเหตุการณ์วันมหาวิปโยค 14 ตุลาคม 2516 ซึ่งเป็นเหตุการณ์จลาจลอันมีมูลเหตุมาจากการชุมนุมของนิสิตนักศึกษาเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย เพราะรัฐบาลยุคนั้นเป็นเผด็จการ และมีการโกงกินกันอย่างเอิกเกริก ไม่เกรงใจประชาชนแต่ประการใด พลังนิสิตนักศึกษาในยุคนั้น น่าจะจัดได้ว่าเป็นพลังบริสุทธิ์ เรียกร้องสิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นในประเทศไทย ... และแน่นอนครับว่า ไม่มีข้อเรียกร้องใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการล้มล้างสถาบันสูงสุด อันเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวไทย ... การเกิดเหตุการณ์ในครั้งนั้น เป็นครั้งแรกในชีวิตของเด็กอายุ 11 ขวบอย่างผม ที่เห็นความรุนแรง แต่ก็รับรู้ได้ว่า คนส่วนใหญ่ของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ หรือใครก็ตาม มีความรู้สึกและความเห็นร่วมกันทั้งหมด วันนี้ เด็กอายุ 11 ขวบคนนั้น กลายมาเป็นผู้สูงวัย อายุ 58 ปี ใกล้วัยเกษียณเต็มที ได้ผ่านเหตุการณ์ความรุนแรงมาอีกหลายครั้ง เห็นการแย่งชิงอำนาจนับครั้งไม่ถ้วน (รวมทั้งผ่านความเจ็บช้ำน้ำใจส่วนตนมาจนจิตใจชอกชัำยับเยิน ด้วยการถูกกระทำหลากหลาย ... แต่การเรียนรู้และคำสอนต่าง ๆ รวมทั้งแบบอย่างที่เห็นเรื่องความอดทน ทำให้ยังดำรงตนอยู่จนทุกวันนี้) จนมาถึงวันนี้ ได้เห็นเหตุการณ์ที่ทำให้คนสูงวัยอย่างผมรู้สึกเศร้าใจอย่างมากอีกครั้งหนึ่ง คือ เห็นพลังนิสิตนักศึกษาที่จะเป็นความหวังต่อไปของประเทศ กลายเป็นพลังที่เต็มไปด้วยอารมณ์ ... ซึ่งแน่นอนครับว่าแตกต่างจากอดีตที่ผมเห็นครั้งแรกอย่างสิ้นเชิง เพราะครั้งนั้น เป็นพลังที่เปี่ยมไปด้วยอุดมการณ์ และผู้นำการชุมนุม ก็มีทีท่าที่สุขุมรอบคอบ ... รวมทั้งข้อเรียกร้องในปัจจุบันที่ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า เป็นข้อเรียกร้องที่ต้องการอะไรแอบแฝงอยู่เบื้องหลัง ไม่ได้เป็นข้อเรียกร้องที่เป็นไปเพื่อประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ เหมือนเหตุการณ์ครั้งอดีต ผมตั้งคำถามกับตัวเองว่า สถาบันอันเป็นที่เคารพรักสูงสุดของคนส่วนใหญ่ของประเทศนี้ ไปสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจอะไรให้กับเยาวชนคนรุ่นใหม่ ผมตั้งคำถามกับตัวเองว่า สิ่งที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ได้พระราชทานให้คนไทยทั้งประเทศไว้อย่างมากมายเกินกว่าที่คนธรรมดาคนหนึ่งจะทำได้ ไม่ได้กระทบหูกระทบตาของเยาวชนคนรุ่นใหม่เลยหรืออย่างไร ผมตั้งคำถามกับตัวเองว่า ความเปลี่ยนแปลงของโลกนี้ ซึ่งอาจจะบอกว่าเป็นความเปลี่ยนแปลงไปสู่สมัยใหม่นั้น เป็นสิ่งใหม่จริงหรือ ที่คนรุ่นผมไม่เคยเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้โลกของผมตอนที่เป็นวัยรุ่นนั้น เปลี่ยนไปจากโลกของพ่อแม่ แต่ทำไมคนรุ่นผมไม่เคยคิดดูถูกคนรุ่นพ่อแม่ว่า โง่เง่า ไม่ทันต่อเหตุการณ์อย่างที่คนรุ่นผมรู้ความเปลี่ยนแปลง ทำไมคนรุ่นผมยังนับถือคนรุ่นพ่อแม่ ทำไมคนรุ่นผมยังรู้จักคำว่า "กตัญญู" ทำไมคนรุ่นผมยังรู้จักให้เกียรติคนอื่น ฯลฯ และยังมีคำถามอีกมากมายที่เกิดขึ้นกับตัวผม ซึ่งต้องยอมรับว่า ... ผมหาคำตอบไม่ได้ It's blowing in the wind. กระมังครับ #เพ้อเจ้อรำพึง