เมื่อ 15 ต.ค. 2563 นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เฟชบุ๊คไลฟ์ peace talk โดยเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และเปิดโอกาสให้ผู้ชุมนุมที่ถูกควบคุมตัวได้รับสิทธิการประกันตัวกลับมาสู่อิสระภาพตามเดิม นายจตุพร กล่าวว่า ตนเข้าใจในความรู้สึกของผู้ชุมนุมและแกนนำที่ถูกจับกุมหลังการสลายการชุมนุมที่หน้าทำเนียบรัฐบาลเมื่อวานนี้ (14 ต.ค.) ซึ่งเป็นสัจธรรมการต่อสู้ของคนหนุ่มสาว ส่วนผู้มีอำนาจควรใช้ความมีเมตตาธรรมเข้าแก้ปัญหาความขัดแย้งที่แตกต่างทางความคิดจึงจะเกิดประโยชน์ แม้ตนเชื่อว่า การประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ครั้งนี้ ไม่แตกต่างจากการทำรัฐประหารในอดีตของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แต่อีกด้านหนึ่งตนเห็นว่า เมื่อผู้ชุมนุมรับรู้ถึงประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้ว พวกเขาบอกให้ประชาชนออกนอกพื้นที่ กลับบ้านและยุติการชุมนุม จึงถือว่า เป็นความร่วมมือ และไม่ควรมีเหตุการณืต้องใช้ พรก.ฉุกเฉินต่อไปอีก อีกทั้ง แกนนำส่วนที่เหลือเรียกร้องให้ไปรวมตัวที่แยกราชประสงค์เวลา 4 โมงเย็น คงเป็นความรู้สึกที่สะท้อนถึงความเจ็บปวดที่เห็นแกนนำและเพื่อนถูกจับกุม เพราะในความเป็นจริงแล้ว การปฏิบัติทำได้ยากลำบากยิ่ง อย่างไรก็ตาม หลังประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เมื่อผู้ชุมนุมให้ความร่วมมือและเลิกชุมนุมแล้ว การเอาความผิดกับผู้ชุมนุมคงใช้ไม่ได้ เพราะประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในขณะที่มีการชุมนุมและได้รับความร่วมมือจากผู้ชุมนุมโดยยุติการชุมนุม ส่วนการจับกุมแกนนำนั้น เป็นเรื่องของหมายจับเก่าเท่านั้น "เมื่อไม่มีเหตุคือการชุมนุมแล้ว นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีควรยกเลิกได้ทันที่ หากอ้างห่วงใยในสถานการณ์ 4 โมงเย็นนี้แล้ว ผมว่า เกิดขึ้นได้ยากลำบากมาก เพราะบรรยากาศขณะนี้เหมือนอยู่ในช่วงรัฐประหารใหม่ๆ ที่สั่งห้ามชุมนุมเกิน 5 คน ดังนั้น ถ้าวันนี้ไม่มีสถานการณ์ใดๆแล้ว ควรยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉินเสีย เพราะเงื่อนไขตามมาตรา 9 และ 11 นั้น มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ" นายจตุพร กล่าวว่า เหตุการณ์ชุมนุมต่างๆในแต่ละยุคสมัยนั้น เมื่ออยู่ในคุกย่อมมีความรู้สึกในฐานะเป็นมนุษย์ หรือช่วงถูกควบคุมตัวจะทำให้เกิดความได้คิด ดังนั้นรัฐบาลควรให้สิทธิการประกันตัวต่อพวกเขาในฐานะความเป็นมนุษย์ด้วย อีกอย่าง ตนยึนหยัดในการต่อสู้เรียกร้องทั้งส่วนตัวและองค์กร นปช.มาเสมอว่า ต้องยึดหลักแนวทางระบอบประชาธิปไตยภายใต้พระมหากษัตริย์เป็นมุขมาตลอด จึงมีความเชื่อให้สถาบันกษัตริย์อยู่เหนือการเมือง ดังนั้น ฝ่ายใดจึงไม่ควรโหนสถาบันมาใส่ร้ายทำลายทางการเมืองอีกฝ่ายที่คิดต่างให้เป็นศัตรู ด้วยเหตุนี้ ตนจึงเสนอให้มีข้อเรียกร้องเพียงข้อเดียวคือ ไล่ พล.อ.ประยุทธ์ ลาออก เพื่อหลบหลีกการถูกเหยียบย่ำโดยกลุ่มเอาสถาบันมากล่าวหาคนอื่น “วันนี้สถานการณ์บ้านเมือง เมื่อไม่มีสถานการณ์ฉุกเฉินก็ควรยกเลิกฉุกเฉินแล้ว หากไม่ยกเลิก ม็อบไปชุมนุมที่ นนทบุรี หรือปทุมธานี จะตามไปประกาศหรือไม่ หากยิ่งเดินหน้าต่อไปยิ่งทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้น และไม่ส่งผลดีต่อประเทศเลย” พร้อมกับกล่าวว่า การต่อสู้ทุกเหตุการณ์ต้องเน้นชนะทางการเมือง คือ การรักษาความชอบธรรมไว้ให้ เพราะถ้าแพ้ก็แพ้ทุกอย่าง ตนจึงย้ำว่า แต่ละเหตุการณ์เป็นประวัติศาสตร์ของเหตุการณ์นั้นๆ ในยุคนั้นๆ ซึ่งแต่ละประวัติศาสตร์จะไม่เหมือนกัน ตนจึงออกมายืนคัดท้ายช่วยให้คนหนุ่มสาวคิดและให้กำลังใจกัน แม้จะถูกแดกดันประชดประชันต่อว่าหนักหน่วงอย่างไรก็ตาม แต่ตนไม่อีนังขังขอบกับเกียรติยศชื่อเสียง “สิ่งสำคัญ ผมมีความปรารถนาดี มีความสุขที่เห็นคนหนุ่มสาวลุกขึ้นต่อสู้ทางการเมือง และเชื่อว่าจะสามารถฝากความหวังในการรับใช้ประเทศชาติได้ วันนี้ผมไม่ต้องการให้พวกเขาสูญเสียกำลังใจ หวังว่าพวกเขาจะซึมซับรับกับเหตุการณ์ชุมนุมไว้เป็นบทเรียน เนื่องจากในสมรภูมิต่อสู้ มีการล้มแล้วลุกเป็นปกติ และไม่มีแพ้-ชนะได้ตลอดเวลา” นายจตุพร ย้ำว่า การใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน เมื่อไม่มีเหตุจำเป็นต้องประกาศใช้แล้ว การคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินไว้ไม่เกิดประโยชน์อันใดกับบ้านเมืองในยามนี้ อีกทั้งขอให้คนถูกจับกุมได้รับการประกันตัว ได้รับอิสระภาพ ซึ่งการต่อสู้ต้องมีเมตตาต่อกัน และเรียกร้องให้ลดข้อเรียกร้องลง มามุ่งเน้นไปกดดันไล่ พล.อ.ประยุทธ์ ลาออกจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งใหญ่
ขอขอบคุณข้อมูล และรูปภาพจากเพจเฟซบุ๊ก PEACE NEWS