DRT กดปุ่มเริ่มทดสอบเดินเครื่องจักรสายการผลิตใหม่ NT-11 เพิ่มกำลังการผลิตกลุ่มไม้สังเคราะห์อีก 55,000 ตันต่อปี เตรียมป้อนสินค้าเข้าตลาดช่วงต้นปี 2564 รับความต้องการใช้สินค้า ซึ่งอยู่ในช่วงเติบโตและแนวโน้มเศรษฐกิจฟื้นตัวดีขึ้น ตั้งเป้าเดินเครื่องจักรในปีแรกแตะ 80% คาดสร้างรายได้เพิ่มอีกปีละ 200-300 ล้านบาท ช่วยหนุนอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้นและดันสัดส่วนรายได้สินค้ากลุ่มไม้สังเคราะห์แซงสินค้ากลุ่มหลังคา นายสาธิต สุดบรรทัด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ DRT ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ระบบหลังคา ไม้สังเคราะห์ แผ่นบอร์ด ยิปซัม อิฐมวลเบา คานทับหลัง เคาน์เตอร์มวลเบาสำเร็จรูปและบริการหลังการขายภายใต้ตราสินค้า ‘ตราเพชร’ เปิดเผยว่า บริษัทได้เริ่มทดสอบเดินเครื่องจักร สายการผลิตใหม่ NT-11 เพื่อเตรียมรองรับการผลิตสินค้ากลุ่มไม้สังเคราะห์ป้อนเข้าสู่ตลาดในช่วงต้นปี 2564 โดยทำให้บริษัทมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 55,000 ตันต่อปี จากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิตติดตั้งรวม (สินค้ากลุ่มไม้สังเคราะห์และกลุ่มหลังคา) ทั้งหมดประมาณ 1.1 ล้านตันต่อปี ทั้งนี้กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตสินค้ากลุ่มไม้สังเคราะห์ของ DRT เพื่อรองรับความต้องการของตลาดที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ที่มีความสวยงามเสมือนไม้ธรรมชาติ แต่มีความแข็งแรง ทนทาน ดูแลรักษาง่าย สะดวกรวดเร็วในการติดตั้ง และสามารถใช้ตกแต่งที่อยู่อาศัยได้ทั้งภายในและภายนอก ส่งผลให้ภาพรวมตลาดยังอยู่ในช่วงของการเติบโตและมีความต้องการใช้งานแพร่หลาย แม้อยู่ในช่วงภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวก็ตาม โดยบริษัทตั้งเป้าหมายว่าในปีแรกสายการผลิต NT-11 จะมีอัตราการเดินเครื่องจักรประมาณ 80% ของกำลังการผลิต คาดว่าจะสร้างรายได้เพิ่มขึ้น 200-300 ล้านบาทต่อปี และทำให้สัดส่วนรายได้สินค้ากลุ่มไม้สังเคราะห์จะมากกว่าสินค้ากลุ่มหลังคาภายในปี 2564 จากปัจจุบันที่อยู่ในระดับใกล้เคียงกัน และยังส่งผลดีต่อการเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นบริษัทฯ เนื่องจากเป็นกลุ่มสินค้าที่มีอัตรากำไรต่อหน่วยที่โดดเด่นกว่าเมื่อเทียบกับสินค้าในกลุ่มหลังคา “หลังจากเริ่มเดินเครื่องจักร NT-11 เชิงพาณิชย์แล้ว จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ผลิตภัณฑ์กลุ่มไม้สังเคราะห์ของตราเพชร ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ดีขึ้น ทั้งในมุมของขนาดสินค้าและความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ประกอบกับภาพรวมเศรษฐกิจในปีหน้า ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวที่ดีขึ้น ส่งผลดีต่อภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยและความต้องการใช้สินค้าวัสดุก่อสร้างที่น่าจะทยอยกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นอีกด้วย”