คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย เวลาแห่งการช่วงชิงบัลลังก์ในทำเนียบขาวยังคงเหลือเวลาอีกแค่เพียงสามสัปดาห์ โดยผมจะขอวิเคราะห์ใน 3 ประเด็นใหญ่ๆ คือผลของการโต้วาทีนัดแรก และเรื่องราวเกี่ยวกับการติดไวรัสโควิด-19 ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์และเมลาเนีย ทรัมป์ สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งผู้เป็นภรรยา ตามติดด้วยบรรดาลูกสมุนผู้ใกล้ชิดทั้งหมดล่าสุด 23 คน โดยเรื่องสุดท้ายเป็นเรื่องแนวโน้มของการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯนั่นเอง สำหรับประเด็นแรกได้แก่ เรื่องการโต้วาทีปะทะฝีปากยกหนึ่งของประธานาธิบดีทรัมป์กับ “อดีตรองประธานาธิบดีโจ ไบเดน” เมื่อวันที่ 29 กันยายนที่ผ่านมานี้ ซึ่งมีผู้ชมมากกว่า 73 ล้านคน โดยประธานาธิบดีทรัมป์เดินเกมรุกตั้งแต่เสียงระฆังแกร็งแรกดังขึ้น โดยเขาคอยพูดขัดจังหวะทำให้โจ ไบเดนสับสนงงงวยมากถึง 73 ครั้ง และยังพูดขัดจังหวะต่อ “คริส วอลเลส” พิธีกรมากด้วยประสบการณ์อีกหลายๆครั้ง ทำให้พิธีกรที่แสนเจนเวทีซวนเซเสียหลักไม่สามารถคุมเกมได้เลย!!! อย่างไรก็ตามสำนักหยั่งเสียงระดับเอบวก “Wall Street Journal” ร่วมกับสถานีโทรทัศน์ “NBC news” โดยทีมควบคุมการหยั่งเสียงมีผู้สังกัดพรรครีพับลิกันหนึ่งคนและมีผู้ที่สังกัดพรรคเดโมแครต 1 คนมาทำการสำรวจหยั่งเสียง ซึ่งเปิดเผยผลออกมาเมื่อวันที่ 4 ตุลาคมนี้ว่า โจ ไบเดน ชนะประธานาธิบดีทรัมป์ 14% คือ 53% ต่อ 39% ทั้งนี้ปัจจัยการพ่ายแพ้ของประธานาธิบดีทรัมป์เห็นได้อย่างค่อนข้างเด่นชัดว่า เขามิได้เตรียมตัวมากเท่าที่ควร โดยเขาได้ให้สัมภาษณ์ก่อนการโต้วาทีว่า “ข้าพเจ้าไม่จำเป็นต้องเตรียมตัว เพราะข้าพเจ้าถูกสัมภาษณ์มาตลอดเวลาอยู่แล้ว” อีกทั้งการโต้วาทีวันนั้นภาพที่ปรากฏบนหน้าจอโทรทัศน์ก็เป็นที่ประจักษ์ว่า ประธานาธิบดีทรัมป์มีหน้าตาที่ซูบซีดอิดโรยดูอ่อนเพลีย ตรงกันข้ามกับโจ ไบเดนที่หน้าตาเบิกบานแจ่มใสเพราะเตรียมตัวมาแล้วเป็นอย่างดี!!! และหากมองย้อนกลับไปดูการโต้วาทีครั้งแรกในสมัยของ “ริชาร์ด นิกสัน” ที่ต้องปะทะคารมกับคู่แข่ง“จอห์น เอฟ.เคนเนดี”เมื่อวันที่ 26 กันยายน 1960 ที่แม้ว่านักการเมืองทั้งสองต่างก็มีฝีปากที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคารมคมคายยอดเยี่ยมหาตัวจับยากทั้งคู่ก็ตาม แต่กลับปรากฏว่าครั้งนั้นริชาร์ด นิกสันมีสีหน้าที่อิดโรยไม่สดชื่น ต่างกับจอห์น เอฟ.เคนเนดี ที่ดูกระปรี้กระเปร่ามีพละกำลัง จึงมีผลทำให้นิกสันต้องพบกับความพ่ายแพ้ไปและในที่สุดจอห์น เอฟ.เคนเนดีก็ได้รับเลือกเข้าสู่ทำเนียบขาวในตำแหน่งประธานาธิบดี!!! อนึ่งเมื่อสำนักหยั่งเสียงต่างก็ออกมารายงานไปในทิศทางเดียวกันว่า ประธานาธิบดีทรัมป์พ่ายแพ้การโต้วาทีในยกแรกอย่างสิ้นเชิง ซึ่งสร้างความเสียหายให้แก่เขามหาศาล ทั้งนี้เพียงแค่ 48 ชั่วโมงหลังจากที่โจ ไบเดน ประสบชัยชนะจากการโต้วาทียกแรก ปรากฏว่ามีผู้คนหลั่งไหลควักกระเป๋าเทเงินบริจาคเข้าสู่กองทุนหาเสียงของทีมไบเดนมากถึง 31.5 ล้านเหรียญ เหมือนดั่งกับว่า ผู้ชมรายการต้องการจะอยู่ข้างเดียวกับฝ่ายที่ชนะ ประเด็นที่สอง เกิดปรากฏการณ์ผีซ้ำด้ำพลอยสร้างความตื่นตระหนกตกใจไปทั่วทุกมุมโลกต่อข่าวดังที่ ประธานาธิบดีทรัมป์ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จนต้องส่งตัวเข้าโรงพยาบาลทหารวอลเตอร์รีด เมื่อวันเสาร์ที่แล้ว และจากภาพข่าวที่แพร่กระจายออกไปขณะที่เขากำลังเดินทางไปรักษาตัวนั้น เขายอมสวมหน้ากากอนามัย นับว่าคราวนี้เขายอมจำนนต่อหลักความเป็นจริงในการปกป้องโรคระบาดขั้นหนึ่งแล้ว!!! และสิ่งที่แสนจะเลวร้ายผสมปนเปเพิ่มเข้าไปอย่างที่ไม่มีใครเคยคาดฝันมาก่อนนั่นก็คือ บรรดาผู้ทรงอิทธิพลใกล้ตัวที่พวกเขามีมันสมองระดับหัวกะทิ และมีหน้าที่คอยให้คำปรึกษาและวางกลยุทธ์ให้แก่ประธานาธิบดีทรัมป์ต่างก็ติดเชื้อไวรัสโควิด- 19 ไปตามๆกันโดยล่าสุดมีถึง 23 คนดังเช่น “ มิสโฮป ฮิคส์” คนสนิทและที่ปรึกษาอาวุโสทางการเมืองของประธานาธิบดีทรัมป์ ตามติดมาด้วย “บิล สเตปียน” ผู้จัดการหาเสียง และ “เคย์ลีห์ แมคเอนานี” โฆษกประจำทำเนียบขาว “รอนนา แมคเดเนียล”ประธานกรรมการกลางของพรรครีพับลิกัน, “สตีเวน มิลเลอร์”นักวางกลยุทธ์ชั้นเซียน, “เคลลียนน์ คอนเวย์” อดีตที่ปรึกษาอาวุโสของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่แม้ว่าเขาจะเพิ่งลาออกไปแล้วก็ตาม แต่ก็ยังคงให้คำปรึกษามาโดยตลอด และยังมี “คริส คริสตี” อดีตผู้ว่าฯรัฐนิวเจอร์ซี ซึ่งเข้ามารับหน้าที่โค้ชการโต้วาที, “วุฒิสมาชิกไมค์ ลี”และ “วุฒิสมาชิกทอม ทิลลิส” สองวุฒิสมาชิกผู้ทรงอิทธิพลในวุฒิสภาที่ออกหน้าออกตาขับเคลื่อนต้องการให้เอมี โคนีย์ บาร์เร็ตต์ได้รับการรับรองให้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้พิพากษาศาลสูงสุดคนต่อไป!!! ทั้งนี้บรรดากลุ่มมันสมองรอบกายประธานาธิบดีทรัมป์ที่ติดเชื้อไวรัสโควิด 19 เหล่านี้ ต่างดื้อแพ่งปฏิเสธคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ไม่ยอมที่จะสวมหน้ากากอนามัยเพื่อปกป้องการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส ที่ดูๆแล้วต่างก็เดินตามรอยประธานาธิบดีทรัมป์ผู้นำของเขานั่นเอง!!! อย่างไรก็ตามหนึ่งวันก่อนหน้าที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะออกจากโรงพยาบาล เขาได้สร้างความแปลกใจด้วยการออกไปปรากฏตัวนอกโรงพยาบาลด้วยรถกันกระสุนเอสยูวีพร้อมด้วยขบวนรถของเจ้าหน้าที่แห่แหนเข้าไปคอยให้ความอารักขาอีกหลายๆคันที่ติดตามกันเป็นแถวยาว โดยเขาอ้างว่า “ต้องการจะออกไปทักทายบรรดาผู้สนับสนุนที่ยกขบวนมาให้กำลังใจ” ซึ่งอาจจะเป็นกลเม็ดของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ต้องการจะสร้างความมั่นใจต่อฐานเสียงของเขาว่า “ยังคงมีสุขภาพสมบูรณ์และยังคงมีความเป็นผู้นำ” ถึงแม้ว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะออกไปสร้างความประหลาดใจในระยะเวลาสั้นๆเพียงแค่ห้านาทีก็ตาม แต่ปรากฏว่าเขาถูกตำหนิจากผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์อย่างหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจาก “นายแพทย์เจมส์ ฟิลลิปส์” หนึ่งในคณะแพทย์ทีมดูแลรักษาเขา ซึ่งนายแพทย์ท่านนี้ได้ทวิตเตอร์ตำหนิประธานาธิบดีทรัมป์อย่างรุนแรงสองข้อความด้วยกันว่า “ประธานาธิบดีทรัมปสร้างความเสี่ยงให้แก่หลายๆฝ่ายและยังขาดความรับผิดชอบต่อผู้ใต้บังคับบัญชา โดยปราศจากการคิดคำนึงถึงผลกระทบที่จะมีต่อเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ประหนึ่งว่าประธานาธิบดีทรัมป์แสดงตนเป็นคนไร้สติ” และขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์กำลังรักษาตัวอยู่ในทำเนียบขาวนั้น ปรากฏว่าโจ ไบเดนได้ออกตระเวนหาเสียงไปทั่วประเทศ เท่ากับเป็นการสลับฉากกัน เพราะที่ผ่านมาประธานาธิบดีทรัมป์มักจะโจมตีโจ ไบเดนว่า “หลบซุกตัวอยู่แต่ในบ้าน แถมยังคอยวัดไข้ตรวจอาการทุกๆวันอีกด้วย” ยังมีเรื่องที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่งที่ “นายแพทย์ณอน คอนเลย์” แพทย์ประจำตัวของประธานาธิบดีทรัมป์ได้ออกมากล่าวแถลงเมื่อวันจันทร์นี้ว่า “แม้ประธานาธิบดีทรัมป์จะกลับไปรักษาตัวต่อ ณ ทำเนียบขาวแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่พ้นขีดอันตราย” สำหรับการโต้วาทีระหว่างรองประธานาธิบดีไมค์ เพนส์ กับ วุฒิสมาชิกคามาลา แฮร์ริส ในวันพุธที่ 7 ตุลาคม2020 ณ มหาวิทยาลัยยูทาห์นั้น เนื่องจากยังมีข้อจำกัดผมจึงขอเลื่อนนำไปเสนอต่อสัปดาห์หน้า ทั้งนี้การโต้วาทีระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์กับโจ ไบเดนครั้งที่สองในวันที่ 15 ตุลาคมที่ฟลอริดานั้น รองประธานาธิบดีโจ ไบเดนได้ออกมาให้สัมภาษณ์เมื่อวันอังคารที่ผ่านมานี้ว่า “หากประธานาธิบดีทรัมป์ยังคงติดโรคโควิด -19 อยู่ ก็ไม่เหมาะสมที่จะจัดการโต้วาที เพราะเป็นเรื่องที่อันตรายร้ายแรง” และประเด็นที่สามหากจะวิเคราะห์ถึงแนวโน้มที่ว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะได้รับเลือกในสมัยที่สองหรือไม่นั้น และจากการทำนายของเนท ซิลเวอร์ นักสถิติชื่อดังขั้นเทพชั้นเซียนของสหรัฐฯได้ออกมาทำนายครั้งล่าสุด ณ วันที่ 7 ตุลาคมนี้ว่า โอกาสที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะชนะเลือกตั้งอยู่เพียงแค่เพียง 17% ในขณะที่อดีตรองประธานาธิบดีโจ ไบเดนมีโอกาสชนะมากถึง 81% กล่าวโดยสรุปแม้ว่าขณะนี้อดีตรองประธานาธิบดีโจ ไบเดน กำลังมีคะแนนนำสูงลิ่วอยู่ก็ตาม แต่หากว่าโจ ไบเดนไม่ได้รับชัยชนะอย่างถล่มทลายแล้วไซร้ เขาก็ยังมิสามารถวางใจและไม่สามารถมองข้ามถึงกลเม็ดเด็ดพรายและเล่ห์เหลี่ยมอันแสนจะแพรวพราวของประธานาธิบดีทรัมป์ได้เลย เพราะประธานาธิบดีทรัมป์ออกมาบอกใบ้กล่าวเป็นนัยๆอย่างน่าคิดและน่าวิตกกังวลแล้วว่า “จะไม่ยอมรับผลของการแข่งขันเลือกตั้งครั้งนี้อย่างง่ายๆ” ถือว่าเป็นสัญญาณที่ไม่ค่อยจะดีเท่าใดนักละครับ