ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต “หนังสือเล่มหนึ่งสามารถก่อเกิดเป็นความงามอันวิจิตรบรรจงของชีวิต...มันอาจคือแสงฉายแห่งปัญญาญาณหรือาจเป็นสายทางแห่งการเชื่อมโยงอันน่าตื่นตระการต่อการรับรู้ของชีวิต...และอาจเป็นผลลัพธ์อันยิ่งใหญ่ของการสัมผัสรู้ในแง่คิดนานาด้วยความรู้สึก ผ่านหมวดหมู่ของการจัดวางตัวหนังสือแห่งมโนสำนึก ในโลกที่เปี่ยมล้นไปด้วยการซัดส่ายและแกว่งไกวทางอารมณ์ จนสัมปชัญญะยากจะโอบประคองหรือปกป้องเอาไว้ได้” ..นี่คือนัยความหมายที่เปล่งประกายออกมาจากตัวตนของหนังสือเล่มหนึ่ง ซึ่งสร้างคุณค่าอันเปี่ยมล้นไปด้วยพลังด้านในแห่งการหลอมรวมแรงศรัทธาเข้าด้วยกัน...ผ่านการตระหนักรู้และผ่านการหยั่งคิดในกลไกของโลกทัศน์และชีวทัศน์แห่งงยุคสมัยอันยากจะจับต้อง... “สิ่งต่างๆเคยสำคัญในช่วงเวลาหนึ่ง”...ถือเป็นหนังสือที่ถูกระบุว่ามันคือ. “.ความหวังที่หวังว่าแสงแดดจะส่องไปยัง..ที่ที่น้ำตาของคุณได้เอ่อไหล...และหากแสงแดดไม่ส่องประกายขึ้นที่หัวใจ...ที่นั่นก็จะยังเป็นฤดูหนาวเสมอ” ภาวะทางความคิดอันงดงามและลึกซึ้งเช่นนี้..ก่อเกิดเป็นสีสันแห่งโอกาสของความเข้าใจและสามารถนำไปสู่การมองเห็นในหัวใจของกันและกันที่อ่อนโยน...ที่ว่ากันว่ามันสามารถนำพาจิตใจของเราให้ก้าวไปสู่ความเติบใหญ่และผลักดันให้ห้วงขณะแห่งจิตวิญญาณที่อ่อนล้าได้มีโอกาสลุกขึ้นมาอยู่เหนือเหตุการณ์อันเลวร้าย..ปลอดพ้นและสลัดพ้นไปจากความทุกข์...กระทั่งสามารถเหยียบยืนอยู่ด้วยพลังแห่งแรงหัวใจที่เปิดออก...ท่ามกลางความเป็นชีวิตที่ลมหายใจต่างแบ่งปันโอกาสให้กันและกันอย่างลึกซึ้งและเต็มใจโดยไม่มีใครเอ่ยขอ! “ความงามที่ดีนั้น...แท้จริงคือความงามจากภายใน”...เหตุดั่งนี้เราจึงควรต้องทะนุถนอมและเฝ้าอาทรต่อหัวใจของเราเองอย่างตั้งใจ...และหากเป็นไปได้...ก็สมควรที่เราทุกคนจะต้องใช้หัวใจทั้งดวงเก็บกวาดซากของความหล่นร่วงให้พ้นไปเสียจากความหลัง...เพื่อการก่อเกิดภาพในความมีชีวิตชีวาที่จะเป็นสายสัมพันธ์อันบริสุทธิ์และยั่งยืนในหัวใจแห่งความรักและความรู้สึกรักของเราต่อๆไป... “แน่นอนว่า...บางขณะมีความรักก็ปรารถนาเหตุผลมากกว่าสิ่งใดๆ และที่ยิ่งไปกว่านั้น...ก็คือว่าแท้จริง...คนเรานั้นต่างมีชีวิตอยู่ด้วยความรักที่รัก...และความรักที่ถูกรักเสมอ” นั่นหมายถึงว่า...ความรักย่อมล้วนส่งผลอันยิ่งใหญ่ต่อความหมายอันแอบซ่อนและเป็นส่วนตัวของชีวิตเสมอ..หากแต่ว่าเมื่อใครสักคนเกิดสามารถที่จะทบทวนเรื่องราวของความรักให้กลายเป็นโครงเรื่องอันน่าตื่นตาตื่นใจของชีวิตได้...ตราบนั้น...ความรักที่แท้จริงก็จะกลับวกมาหาเราในฐานะคนรักใหม่ที่เกี่ยวก้อยและเป็นหนึ่งเดียวกับความทรงจำที่เบิกบานของเรา “ความรักอาจเปลี่ยนไป....แต่ความจริงไม่เปลี่ยนแปลง...ดั่งนี้ เราจึงควรพูดคุยและถามไถ่ถึงประเด็นความรู้สึกระหว่างการเป็นคู่รักแห่งกันและกันบ่อยๆ...รวมทั้ง ต้องหมั่นสังเกตถึงรอยร่องแห่งหยาดน้ำตาและรอยยิ้มของคนรัก...” เราต่างต้องไม่ลืมความรัก...เพราะในหัวใจของเราทุกคนนั้น...ต่างมีความลับแห่งความลับซ่อนเร้นต่อกันและกันอยู่...ความรู้สึกหรืออารมณ์ในทุกๆมิติย่อมเป็นคุณค่าที่ไม่เคยตายไปจากความรัก...เนื่องเพราะ ความรักจะทำให้ชีวิตของเรายืนยงอยู่...ด้วยดอกผลแห่งเจตจำนงที่เป็นอารมณ์ร่วมของความเป็นนิรันดร์..อันเปรียบดั่งดวงตะวันที่ส่องแสงสู่ดวงใจของเรา...แล้วส่งผลถึงความรักให้ได้สารภาพต่อทุกสิ่งว่า..ความทรงจำคือลมหายใจของการมีชีวิตอยู่ที่บริสุทธิ์ และงดงามในความล้ำลึกเสมอ... “ไม่จำเป็นเลยที่เราจะต้องเข้าใจในอีกฝ่ายไปเสียทุกเรื่อง..แต่ขอให้จดจำและเข้าใจว่าโลกนี้ยังมีสิ่งที่เข้าใจอีกมากมาย” ผมถือว่าในส่วนๆนี้คือข้อคิดสำคัญที่ได้รับรู้อย่างชวนใคร่ครวญจากหนังสือเล่มนี้..เพราะถ้าหากคนเราไม่รู้สึกถึงแง่งามแห่งความสุขจากความจริงของชีวิตว่าเป็นเช่นไรแล้ว...ก็จำเป็นต้องทบทวนและถามหัวใจ..ของตนเองว่า...มีความสุขและรื่นรมย์กับชีวิตของตัวเองไหม.?..เพราะเรานั้นเป็นเจ้าของชีวิต...มีความสุขกับร่างกายและเนื้อในแห่งชีวิตของตัวเองไหม?..เพราะเราต่างเป็นผู้ปรุงแต่งความเป็นชีวิต....มีความสุขกับจิตใจของเราไหม?..เพราะจิตใจคือสิ่งที่ค้ำยันชีวิตของเราเอาไว้...มีความสุขกับจิตวิญญาณของตนเองไหม?...เพราะหัวใจของเราทุกคนล้วนขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยสิ่งอันมีค่าที่ลึกซึ้งนี้...มีความสุขกับสังคมที่มีชีวิตอยู่ไหม?..เพราะสังคมคือบ้านแห่งการรองรับความเป็นอยู่อันแท้จริงของเรา...เรามีความสุขกับภูมิปัญญาของเราหรือไม่?..เพราะทุกๆขณะภูมิปัญญาคือบทสรุปแห่งท่าทีของชีวิต..มันคือความงดงามที่มีแต่จะเบิกบานเติบใหญ่...ไม่เคยเลือกวันเวลา...ไม่เคยเลือกฤดูกาล มันเติบจะใหญ่อยู่เสมอในตัวตนแห่งหัวใจของเรา “ในโลกของความเป็นจริง..ความดีใจกับความสุขใจ สามารถสอนชีวิตของเราได้เพียงครึ่งเดียว..ครูที่คอยสอนทั้งด้านสว่างและด้านมืด..คือความโศกเศร้าและสำนึกผิด..นั่นจึงเป็นผลให้เราจำเป็นต้องเชื่อมั่นในตัวเอง...แม้ว่าจะไม่มีใครเชื่อเลยก็ตาม” ชีวิตย่อมมีจุดต่างให้ได้สังเกตและค้นหามากมายเหมือนเช่นนี้...มันจะดำรงอยู่จนกว่าเราจะค้นพบว่า..ธรรมชาติของตัวตนคือ ครูผู้สอนการรับรู้บนพื้นฐานของความประจักษ์แจ้งแห่งชีวิต..เราต่างมีขอบเขตของการเดินทาง..มีขอบเขตของเป้าหมายในการแสวงหา ...และกว่าจะถึงจุดจบแห่งการบรรลุ เราต้องเตรียมหัวใจเพื่อการลงทุนทางจิตวิญญาณให้พร้อม..ทั้งนี้ก็เพราะว่า..ในหลายๆขณะที่เรือลำน้อยอาจต้องคลื่นลม...และหลายๆขณะที่เรือแห่งชีวิตอาจต้องล่องน้ำที่แปรปรวน...กระทั่งทวนกระแสพลัดหลงเข้าไปสู่วังน้ำวน..แต่แค่เฉพาะไม้พายในมือ..เราจะพาชีวิตทั้งชีวิตผ่านอุปสรรคโดยไม่ให้เรือลำน้อยคว่ำจมลงได้อย่างไร?...นั่นคือคำถามสำคัญ.. “จงเชื่อมั่นในตนเอง…แม้จะไม่มีใครเชื่อเลยก็ตาม” ความเชื่อเช่นนี้...จะก่อให้เกิดประกายใจแห่งชีวิต...อันหมายถึงสิ่งที่จะสอนให้เราได้รู้สึกกับการคลี่คลายความมืดมนที่ไร้หวัง เพราะมันคือมนตราที่พิสูจน์ให้ได้รับรู้ว่า...ทั้งความทุกข์และความสุขล้วนก่อเกิดและดับสิ้นลงด้วยการเรียนรู้ของหัวใจที่เปิดกว้างและไม่อำพรางต่อกันและกันเท่านั้น..เหตุนี้ทุกๆชีวิตจึงย่อมไม่สามารถที่จะขาดประกายใจของตนเองได้..แม้เราจะเฝ้าลืมตาและกู่ตะโกนบอกกล่าวกับใครๆว่า..เรายังคงมีชีวิตอยู่ก็ตาม...ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า..ชีวิตที่ไม่มีประกายใจอยู่ในหัวใจ...ก็เหมือนดั่งดวงตาที่แห้งผาก...เหมือนการร้องไห้ที่ขาดน้ำตาเป็นเครื่องอาบชโลม...จริตของมนุษย์มักร่ายรำอยู่เบื้องหลังเงาร่างของตนเอง พร้อมๆกับการเติบใหญ่ของหัวใจที่คอยย้ำเตือนให้มิติของอารมณ์และความรู้สึกได้คว้าจับธรรมชาติมาเป็นของขวัญแห่งภาพแสดงละครชีวิตของตนเอง จนบังเกิดเป็นความเข้าใจ ในเนื้อแท้ของจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์และยั่งยืน...ประกายใจ...จะเกิดขึ้นกับทุกหัวใจเสมอหากเราแต่ละคน จะพยายามสอนบทเรียนแก่ชีวิตของตนเอง ด้วยสุทรียภาพแห่งการมองโลกในแง่งาม...มองโลกให้เห็นถึงความทุกข์สุขว่า...เป็นเพียงกลิ่นอายของภาพลวงตาที่เหมือนจริงเท่านั้น “หาความสุขเล็กๆ...ในแต่ละวันให้เจอ” “อีกีจู”...ผู้เคยเขียนหนังสือที่สั่นไหวหัวใจและมีผู้ติดตามอ่านถึงหนึ่งล้านคนจากเรื่อง”อยู่ที่ว่าเราจะมองมันแบบไหน”..เขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาด้วยหวังว่า..สิ่งที่ทำให้เราเป็นทุกข์มากในตอนนี้...แท้จริงมันเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขมากเมื่อครั้งหนึ่ง...สิ่งที่ผ่านเข้ามาในใจนั้นจึงเหมือนคลื่นลูกหนึ่ง...หลังจากกัดกร่อนและตกตะกอนดีแล้วก็จะล่วงลับผ่านไปในทันที...ดั่งนี้การดำรงอยู่ของคนจึงสำคัญมาก...ครั้นเมื่อพรากจากกันไปแล้วก็ไม่ได้จากไปเฉยๆ.. “.เขาและเธอได้ทิ้งบางอย่างที่มีค่าไว้กับเรา..และเอาบางอย่างที่มีค่าจากเราไป.../เป็นต้นว่า..คนที่ทำให้เรายอมมีชีวิตต่อไปได้...ย่อมเป็นคนที่เราควรเก็บรักษาไว้ให้ดี../การให้อภัยหาใช่เรื่องยาก ลองพยายามทำดู..แล้วใจจะเบาขึ้น/...หรือในทางตรงข้ามที่เจ็บปวดดั่งว่า...ความจริงคือสิ่งที่ทำร้ายคนเราได้มากที่สุด..และ..หรือ ความหยิ่งและอคติจะทำให้ไม่มีใครกล้าเปิดหัวใจคุณ” ผมถือว่าหนังสือเล่มนี้...ได้มอบความประจักษ์แจ้งแห่งการรับรู้ชีวิต...ผ่านความรู้สึกที่ละเมียดละไมอันไม่รู้จบ..ทำให้ได้มองเห็นถึงแสงสว่างทางปัญญาที่ทรงพลัง..และยังทำให้บังเกิดความเชื่อมั่นได้ว่า...ห้วงยามในแต่ละห้วงยามของชีวิตคือสิ่งอันเป็นความหมายของการเรียนรู้ที่แม่นตรง และไม่หลีกเร้นไปจากความปรารถนาดีของหัวใจแห่งหัวใจเสมอ... “วิทิยา จันทร์พันธ์”...แปลหนังสืออันมีค่าทางด้านเนื้อหาสาระต่อชีวิตด้านลึกเล่มนี้...ออกมาด้วยภาษาสำนึกที่ละเมียดละไมยิ่ง..มันส่งผลต่อการเรียนรู้ของชีวิตในบททดสอบที่ยากยิ่งบนเส้นทางแห่งการก่อเกิดเชาวน์ปัญญา..ตราบใดที่การเรียนรู้ในลักษณะเช่นนี้..ได้บังเกิดและกลายเป็นบททดสอบปรากฏการณ์ทั้งภายนอก ภายในคุณค่าอันแท้จริงของตัวตน ภายใต้เงื่อนไขเฉพาะตัวของความเป็นชีวิตหนึ่งอยู่อย่างนั้น.. “ใครบางคน และประโยคบางประโยค ก็คล้ายเหมือนดอกไม้ที่คอยโอบกอดบาดแผลของเรา”