ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ก.ย.63 ลดลงครั้งแรกรอบ 5 เดือนจากปัญหาการเมือง หวั่นท่องเที่ยวไม่ฟื้นภายในเดือนต.ค.นี้ ฉุดคนตกงานเพิ่มอีก 5 แสนคน นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยเปิดเผยว่า ผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ก.ย.63 อยู่ที่ 50.2 จาก 51.0 ในเดือน ส.ค.63 โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลงครั้งแรกในรอบ 5 เดือนจากปัญหาการเมือง ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ 42.9 จาก 43.6 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำอยู่ที่ 48.2 จาก 49.1 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตเท่ากับ 59.4 จาก 60.4 ขณะที่ปัจจัยลบมาจากความกังวลสถานการณ์การเมืองจากการชุมนุม,การลาออกจากตำแหน่งรมว.คลังของนายปรีดี ดาวฉาย กระทบความเชื่อมั่นในสายตาผู้บริโภค,ความกังวลการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19,การส่งออกในเดือนส.ค.ที่ลดลง -7.94% และเงินบาทอ่อนค่าลงเล็กน้อย ส่วนปัจจัยบวกได้แก่ คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) คาดอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ปี 63 จะหดตัว -7.8% น้อยลงจาก -8.1% และ กนง.คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.50% ต่อปี และราคาน้ำมันในประเทศยังทรงตัว โดยการปรับตัวลดลงของดัชนีความเชื่อมั่นทุกรายการในเดือนก.ย.นี้ ทั้งดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยโดยรวม,ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสการหางานทำ และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค(CCI) ปรับลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือน และการที่ดัชนีฯโดยรวมยังคงเคลื่อนไหวอยู่ต่ำกว่าระดับ 100 แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคยังคงเห็นว่าสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมยังคงย่ำแย่จากวิกฤติโควิด-19 ทั่วโลก ซึ่งส่งผลกระทบในเชิงลบอย่างมากต่อกำลังซื้อภายในประเทศ ภาคการท่องเที่ยว การส่งออก ธุรกิจโดยทั่วไป และการจ้างงานในอนาคต โดยบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทั้งในปัจจุบันและในอนาคตอย่างต่อเนื่อง โดยการที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับลดลงครั้งแรกในรอบ 5 เดือนและยังทรงตัวต่ำ เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพการเมืองไทย แม้รัฐบาลจะได้ผ่อนคลายให้ธุรกิจเปิดดำเนินการได้หลายสถานประกอบการมากขึ้น และมีมาตรการเยียวยาฟื้นฟูเศรษฐกิจออกมาต่อเนื่องหลายมาตรการก็ตาม ทำให้คาดว่าผู้บริโภคจะยังชะลอการใช้จ่ายออกไปอย่างน้อยจถึงไตรมาส 4 ของปีนี้ จนกว่าสถานการณ์โควิด-19 ของโลกจะคลายตัวลง ดังนั้นต้องติดตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในไตรมาส 4 ว่าจะสามารถช่วยพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยได้มากน้อยเพียงใด และสถานการณ์การเมืองของไทยตั้งแต่เดือนต.ค.เป็นต้นไปว่าจะดีขึ้นหรือแย่ลง ซึ่งปัจจัยทั้งสองนี้จะมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเป็นอย่างมาก ขณะเดียวกันเป็นห่วงต่อภาคการท่องเที่ยวที่ยังไม่ฟื้นตัวขึ้นเท่าที่ควร แม้ภาครัฐจะมีมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวออกมา ซึ่งหากผู้ประกอบการภาคธุรกิจท่องเที่ยวไม่สามารถแบกรับสถานการณ์ได้ไหวจะทำให้มีการปลดคนงาน และเพิ่มปัญหาการว่างงานมากขึ้นในกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม และที่เกี่ยวข้อง ซึ่งอาจจะได้เห็นการว่างงานมากถึง 5 แสนคนในช่วงไตรมาส 4 นี้ ดังนั้นสิ่งที่ภาคธุรกิจท่องเที่ยวมีข้อเสนอแนะไปยังรัฐบาลคือ ขอให้มีการปรับมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวให้มีความสะดวก และสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ทั้งในส่วนของประชาชนและผู้ประกอบการ ทั้งนี้เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อการที่ธุรกิจท่องเที่ยวจะเป็นตัวช่วยดึงเศรษฐกิจไทยในปีนี้ให้ฟื้นขึ้นได้ "กังวลภาคท่องเที่ยวที่ยังไม่ฟื้น แม้รัฐบาลจะมีมาตรการออกมา แต่หากเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาได้ไม่ทัน ภาคธุรกิจท่องเที่ยวอาจจะปลดคนงานออก เพราะแบกรับสถานการณ์ไม่ไหว ซึ่งมาตรการพักชำระหนี้ให้ภาคธุรกิจจะหมดในต.ค.นี้แล้ว ดังนั้นไตรมาส 4 จึงถือเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญของเศรษฐกิจไทย หากการท่องเที่ยวไม่ฟื้นอาจจะได้เห็นการปลดคนงานในระดับ 5 แสนคน" สำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆของรัฐบาลในภาพรวมที่จะมีเม็ดเงินกว่า 1 แสนล้านบาท ออกมาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ คาดว่าจะช่วยทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจไทย(จีดีพี) ในไตรมาส 4 หดตัวน้อยลงเหลือ -4 ถึง -5% จากเดิมที่คาดว่าจะหดตัว -6 ถึง -7% ขณะที่การส่งออกในไตรมาส 4 นี้ คาดว่าหดตัวราว -8% เนื่องจากมาตรการล็อกดาวน์ของประเทศต่างๆจากสถานการณ์โควิดไม่ได้รุนแรงขึ้น แต่ไม่ได้แย่ลง ซึ่งจะทำให้ภาพรวมจีดีพีปีนี้หดตัวประมาณ -7 ถึง -9% โดยตัวเลขปีหน้ายังไม่ได้ประเมินไว้อย่างเป็นทางการ แต่ถ้ามองในตอนนี้ เศรษฐกิจปีหน้าคาดว่าจะโตได้ 3-4% ขณะที่การส่งออกไทยอาจจะกลับมาเป็นบวกได้เล็กน้อยที่ 2-5% จากสิ่งอะไรต่างๆที่ไม่ดีในปีนี้จะเริ่มกลับมาเป็นปกติได้ในปีหน้า จำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเริ่มกลับเข้ามาได้ตั้งแต่ในช่วงปลายปีนี้ รวมถึงความคาดหวังที่จะมีวัคซีนป้องกันโควิด-19