เป็นเกมที่น่าผิดหวังสุดสำหรับบรรดาแฟนๆพลพรรค "ปีศาจแดง" ที่ทีมรักอย่าง "แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด" เปิดรังโดน"ท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์" ของ"โจเซ่ มูรินโญ่" อดีตกุนซือปีศาจแดง ถล่มไม่ไว้หน้า 6-1 ในศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ คืนวันที่ 4 ต.ค.ที่ผ่านมา ทั้งๆที่เกมคู่นี้ทั้ง 14 นัดที่ผ่านมาไม่เคยลงเอยด้วยผลเสมอ โดย"แมนยู" ชนะถึง 11 เกม ส่วนสเปอร์ชนะแค่ 4 นัด เกมนี้ "แฮร์รี่ แม็คไกวร์" เรียกความฟิตกลับมาลงสนามจับคู่กับ "เอริค ไบญี่" แดนกลางเป็น "ปอล ป็อกบา, เนมันย่า มาติช, บรูโน่ แฟร์นานเดส" ส่วนสามประสานแดนหน้า"โอเล่กุนนาร์โซลชา"กุนซือของทีม ส่งมาครบทั้ง"อองโตนี่ มาร์กซิยาล, มาร์คัส แรชฟอร์ด, เมสัน กรีนวู้ด" โดยเกมนี้เหมือนว่า "แมนฯยู" จะออกออกสตาร์ทได้ดี เมื่อเริ่มเกมมาแค่ 30 วินาที ยูไนเต็ด มาได้จุดโทษก่อนเลยเมื่อบรูโน่ทำชิ่งกับมาร์กซิยาลเข้าไปในกรอบเขตโทษด้านซ้ายแล้วโดน ซานเชซกระแทกจากด้านหลังล้มลงไปกรรมการเป่าทันที แล้วเป็นดาวเตะโปรตุกีสกระโดดยิงเข้าไป 1-0 แต่หลังจากนั้นแค่ 4 นาที ก็เหมือนหนังคนละม้วน เมื่อ"สเปอร์ส" ตามตีเสมอ 1-1 ได้อย่างรวดเร็ว เป็นความไม่เด็ดขาดของกองหลังเจ้าถิ่นที่ "แม็คไกวร์"โหม่งคืนแป๊กแล้ว "ชอว์" จะเตะทิ้งก็ไม่ได้ โดน"ลาเมล่า"ไปตามป่วนสุดท้ายบอลมาเข้าทางของ "เอ็นดอมเบเล่" ตามมาอัดด้วยซ้ายตรงเส้นหกหลาเข้าไป จากนั้น"สเปอร์ส" ก็ผลิตสกอร์เพิ่มอีก 3 ลูก หน่ำซ้ำ "อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล" โดนใบแดงไล่ออกไปตั้งแต่ยังไม่ถึงครึ่งชั่วโมงแรกของเกม ทำให้จบครึ่งแรก "แมนฯยู" โดนนำ 4-1 กลับมาลงสนามในครึ่งเวลาหลังแค่ 5 นาที สเปอร์ส หนีไปไกล 5-1 จากจังหวะที่ ลูคัส มูร่า แปะบอลคืนให้"ปิแอร์-เอมิล ฮอยเบียร์ก" แทงบอลทะลุช่องออกทางขวาถึง แซร์ช โอริเย่ร์ เติมสูงมาเอาบอลในเขตโทษแล้วกดเรียดเสียบเสาไกล กระทั่งก่อนจบเกม 12 นาที ทีมเยือนมาได้ลูกจุดโทษเมื่อ "ปอล ป็อกบา" ไปสไลด์ทำฟาวล์ใส่ "เบน เดวิส" ตัวสำรองล้มลงในเขตโทษ และเป็น "แฮร์รี่ เคน" อาสายิงเสียบมุมเข้าไป ทำให้ สเเปอร์ส หนีไกล 6-1 จบเกม แมนฯ ยู แพ้เละเทะคารังต่อ สเปอร์ส 1-6 ทำให้ ไก่เดือยทอง กลายเป็นทีมที่ 2 ในประวัติศาสตร์ที่บุกยิงปีศาจแดงคาถิ่นได้ถึง 6 ประตู เมื่อส่องกล้องมองหลังเกมนัดนี้ "แมนฯยู" มีจุดเปลี่ยนของเกมอยู่ที่ "อองโตนี่ มาร์กซิยาล" โดนใบแดง หลังจากนั้นก็ไม่เหลือฟอร์มโดยเฉพาะแนวรับมั่วซั่วสุดๆ เริ่มตั้งแต่ "อารอน วาน-บิสซากา" ยังคงหาฟอร์มไมเจอเป็นนัดที่ 4 โดยมีอาการหลุดตำแหน่งกระจาย ปล่อยให้ "ซอน เฮือง มิน" เล่นบอลได้แบบสบายๆ ส่วน "เอริก ไบญี" นานๆจะได้โอกาสลงเป็นตัวจริง แต่กลับโชว์ฟอร์มได้อย่างน่าผิดหวัง จังหวะเสียประตูที่ 2 มัวแต่เดินชิล ไม่ยอมวิ่งตามในจังหวะ "ซอน เฮือง มิน" ได้บอล ทำให้โดนหลุดเดี่ยวไปยิง ส่วนจังหวะเสียประตูที่ 3 ก็เริ่มมาจากการจ่ายบอลพลาดของเขา ด้าน "แฮร์รี แม็คไกวร์" ที่เพิ่งฟิตกลับมาลงสนามได้ ก็ขาดสมาธิบ่อยมาก มีส่วนร่วมกับจังหวะเสียประตูแรก และยังไปทำฟาวล์จนเสียฟรีคิก ซึ่งนำมาสู่การเสียประตูที่ 2 ซึ่งจังหวะนี้น่าจะไปยืนกันไม่ให้ "แฮร์รี เคน" ได้เล่นฟรีคิกเร็ว แต่ก็ไม่ทำ และยังมีปัญหาอีกหลายๆ จังหวะในการเล่นเกมรับ น่าจะเป็นวันที่เขาฟอร์มแย่ที่สุด ขณะที่ "ลุค ชอว์" เล่นแบบแมวไม่รับประทานเลย หลุดตำแหน่งแทบทั้งเกม แถมเกมบุกแทบไม่มีให้เห็น เกมรับก็โดนเจาะตลอด "เนมันยา มาติช" ไม่สามารถตัดเกมได้เลย ปล่อยให้คู่แข่งฝ่าไปถึงแนวรับได้ง่ายมากๆ "พอล ป็อกบา" ก็ยังคงเล่นบอลเหมือนเดิม มากจังหวะ ห่วงบอล จนทำให้เสียบอลแบบง่ายๆ แถมยังทำเสียจุดโทษอีกต่างหาก "บรูโน เฟอร์นันเดส" ก็หายไปจากเกมดื้อๆ ส่วน"เมสัน กรีนวูด"ก็หายไปจากเกมเช่นกัน ขณะที่ "อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล" โดนใบแดงไล่ออกไปตั้งแต่ยังไม่ถึงครึ่งชั่วโมงแรกของเกม และตัวสำรองอย่าง "เฟร็ด" และ"สกอตต์ แม็คโทมิเนย์" ที่ถูกส่งลงมาเพิ่มความสดในแดนกลาง แต่ก็ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน หากมองรูปเกมทั้งหมดของ "แมนฯยู" ยังคงมีฟอร์มการเล่นเหมือนฤดูกาลที่แล้ว ไร้มาตรฐาน ส่วนการแก้เกมของกุนซืออย่าง "โอเล่ กุนนาร์โซลชา" ทำให้เห็นได้แบบชัดเจนว่า ยังสู้ "โจเซ่ มูรินโญ่" อดีตกุนซือปีศาจแดง ไม่ได้เลย ระบบทีมก็ไม่มี นักเตะเล่นกันแบบตัวใครตัวมัน ความพ่ายแพ้ครั้งนี้ "โซลชา" ต้องรับคนเดียวไปแบบเต็มๆ