ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก นัดที่ 4 ของฤดูกาลที่ 2020-2021 โดยมีผลการแข่งของทีมระดับบิ๊กๆหลายทีม ที่ล็อคถล่มพ่ายแพ้แบบย่อยยับกันเลยที่เดียว เริ่มกันที่แชมป์เก่า "หงส์แดง"ลิเวอร์พูล ที่ต้องออกไปเยือน"สิงห์ผงาด" แอสตัน วิลล่า คืนวันที่ 4 ต.ค.ที่ผ่านมา โดย"หงส์แดง"ออกแววเละเทะตั้งแต่นาทีที่ 4 เมื่อ "อาเดรียน" นายทวารมือ 2 ของที่รับหน้าที่เฝ้าเสาแทน "อาลีสซง เบ็คเกอร์" ผู้รักษาประตูมือหนึ่ง ที่ต้องพักอีกราว 6 สัปดาห์จากอาการไหล่เดี้ยง ออกบอลแจกหมูให้ "สิงห์ผงาด" ขึ้นนำตั้งแต่นาทีที่ 4 จากนั้นจังหวะบอลเข้าทางเจ้าถิ่นที่ได้หลุดยิงรัวๆ ยังไงก็เข้าจาก" ออลลี่ วัตกินส์" ที่กดแฮตทริค "บาร์คลีย์" ที่ยิงเปิดซิงกับทีมใหม่ "แจ็ค กรีลิช" ซัดไป 2 ลูก และอีกลูกของ "จอห์น แม็คกินน์" ทำให้ "แอสตัน วิลล่า" เปิดบ้านถล่ม "ลิเวอร์พูล"แบบสุดช็อก 7-2 ทำให้เจ้าถิ่นชนะรวด 3 นัดขึ้นไปรั้งรองจ่าฝูง ขณะที่ทีมแชมป์เก่าก็แพ้เป็นนัดแรกของฤดูกาล ในการพ่ายแพ้ครั้งนี้ของ "หงส์แดง" เป็นนัดแรกในฤดูกาล 2020-2021 โดยครั้งล่าสุดที่ ลิเวอร์พูล เสียถึง 7 ประตูในนัดเดียวต้องย้อนไปในเดือน เม.ย.ปี 1963 หรือ 57 ปีที่แล้ว ที่เคยโดน สเปอร์ส อัดยับ 7-2 อีกทั้ง ลิเวอร์พูล ยังเป็นแชมป์เก่าทีมแรกที่เสียถึง 7 ประตูในฤดูกาลป้องกันแชมป์ ต่อจาก อาร์เซน่อล ที่เคยแพ้ต่อ ซันเดอร์แลนด์ 1-7 ในเดือน ก.ย.ปี 1953 หรือ 67 ปีที่แล้ว สำหรับเกมนี้ ลิเวอร์พูล บุกไปเยือนแบบสภาพทีมมีปัญหาพอสมควร โดยจะขาด "ซาดิโอ มาเน่" กองหน้าจอมทัพที่กลายเป็นนักเตะรายที่ 3 ของทีมที่ตรวจพบว่าติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้ไม่ได้ลงเล่น "อาลีสซง เบ็คเกอร์" ผู้รักษาประตูมือหนึ่ง มีปัญหาบาดเจ็บที่หัวไหล่ระหว่างการซ้อมเมื่อวันเสาร์ ส่วน "อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน, มาติป, ซิมิคาส" ไม่ฟิตทั้งหมด ทำให้ "เจอร์เก้น คล็อปป์" ผู้จัดการทีมต้องส่ง "ดีโอโก้ โชต้า" ลงตัวจริงในเกมรุกพร้อมกับ "โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่" ตรงกลางเป็น " นาบี เกอิต้า, ฟาบินโญ่, จอร์จินโญ่ ไวนัลดุม" แผงหลังเป็น"เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, โจ โกเมซ, เฟอร์กิล ฟาน ไดค์, แอนดี้ โรเบิร์ตสัน" และ"อาเดรียน" เฝ้าเสาแทน ส่องกล้องมองหลังเกมที่แชมป์เก่า"หงส์แดง"แพ้ยับ 7-2 ไล่กันตั้งแต่ผู้รักษาประตู "อาเดรียน" ที่เล่นผิดพลาดจนทีมเสียประตูแรก ทำให้ทีมต้องตกเป็นรอง หลังจากนั้นยังเจอแต่ละลูกที่ยากจะป้องกัน แต่ต้องยอมรับว่าเจ้าตัวไม่นิ่งพอจนไม่สามารถช่วยให้ทีมรอดพ้นจากความพ่ายแพ้ไปได้ ส่วนแบ็คซ้าย-ขวา "เทรนท์-โรเบิร์ตสัน" มีหลุดตำแหน่งให้เห็นหลายครั้งในจังหวะที่ทีมโดนสวนกลับ แถมยังมีส่วนในการที่ทีมเสียประตูในหลายๆจังหวะอีกด้วย ด้าน"โจ โกเมซ"ยังคงเป็นบ่อให้กองหน้าเจ้าถิ่นเจาะได้บ่อยครั้ง เนื่องจากตามประกบกองหน้าเจ้าถิ่นไม่อยู่ แถมยังมีจังหวะเล่นผิดพลาดหน้าเขตโทษตัวเองด้วย ขณะที่กองกลางอย่าง "เกอิต้า-ฟาบินโญ่- ไวจ์นัลดุม" แม้จะตัดเกมได้หลายครั้ง แต่ส่วนใหญ่ก็วิ่งไล่ตามกองกลางเจ้าถิ่นไม่ทัน แถมยังเจอแดนกลางของเจ้าถิ่นไล่ปะทะอย่างหนักจนเจ้าตัวครองบอลได้น้อยครั้ง ขณะที่ "โชต้า"ได้จังหวะเลี้ยงบอลขึ้นเกมทางฝั่งซ้ายได้ดีในหลายๆจังหวะแต่ไม่มีทีเด็ดทีขาดพอจะสร้างประตูให้ทีมได้ แม้จะได้เปิดบอลให้เพื่อนบ้างแต่เจ้าตัวยังเล่นได้ไม่ดีพอ ส่วนคนที่เล่นได้ดีที่สุดเป็น "ซาลาห์" ที่สามารถสร้างสรรค์เกมรุกให้ทีมได้ในหลายๆจังหวะ แถมวันนี้ยังทำได้ถึง 2 ประตู ส่วนทางด้าน "ทาคูมิ มินามิโนะ" ลงสนามแทนที่ "เกอิต้า" ในนาทีที่ 46 ก็แทบไม่มีส่วนร่วมใดๆกับเกมตลอดเวลาที่ได้ลงสนาม ได้จังหวะครองบอลบ้าง แต่ไม่มีโอกาสลุ้นทำประตูเลย แน่นอนว่า การขาดให้ไปของ "มาเน่-อาลีสซง" รวมไปถึง "เฮนเดอร์สัน"กัปตันทีมที่ยังไม่ฟิต ทำให้ด่านสุดท้ายของแนวรับไม่แข็งแกร่งชนิดที่เรียกว่ายิงยังไงก็เข้า ขณะที่ฟูแบ็คทั้ง 2 ฝั่นที่บุกขึ้นไปเติมเกมรุกไม่ได้ผลจากการเปิดบอลเพราะการขาดหายไปของ"มาเน่" ทำให้โดนส่วนกลับเร็ว โดยเฉพาะเมื่อโดนส่วนกลับเร็วก็ไม่มี "เฮนเดอร์สัน" ตัดเกมในแดนกลาง ส่วนตัวสำรองที่ส่งลงมาทดแทนทั้ง "โชต้า- มินามิโนะ-อาเดรียน"ก็ยังไม่ใช่ ที่จะขาดหวังได้อย่าง "ติอาโก้ อัลคันทาร่า" ก็ดันมาติดเชื้อโควิด-19 อีกราย หน่ำซ้ำเกมนี้ "ลิเวอร์พูล" ยังโดนขึ้นนำเร็วตั้งแต่นาทีที่ 4 แน่นอนว่าทำให้นักเตะขวัญกระเจิง อีกด้วย การแพ้แบบย่อยยับตั้งแต่ต้นฤดูกาลในครั้งนี้ เป็นปัญหาที่ "เจอร์เก้น คล็อปป์" ต้องกลับมาคบคิดถึงระบบที่ต้องสู้ศึกพรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนี้อีกยาวไกล รวมไมถึงฟุตบอลถ้วยใหญ่ของยุโรปอย่าง "ยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีก" ที่ต้องยกระดับนักเตะสำรองให้เข้าระบบทีม เพื่อสับเปลี่ยนขุมกำลังระหว่างเล้นทางการแข่งขัน และที่สำคัญการพ่ายแพ้ครั้งนี้คงจะไม่ทำให้ทีมเวิร์คต้องเสียสมดุลจนควานหาชัยชนะนัดต่อๆไปไม่เจอก็แล้วกัน