คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย ศึกช่วงชิงเก้าอี้ในทำเนียบขาวขณะนี้กำลังเพิ่มความเข้มข้นสูงขึ้นตามลำดับ โดยเฉพาะการเผชิญหน้าปะทะฝีปากในการโต้วาทีนัดแรกระหว่าง “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์”และ “อดีตรองประธานาธิบดีโจ ไบเดน” ที่เพิ่งผ่านไปสดๆร้อนๆเมื่อวันอังคารที่ 29 กันยายนนี้ โดยมี “คริส วอลเลส” ผู้อ่านข่าวชั้นเซียนจากฟอกซ์ นิวส์ เข้ามารับหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการ ที่การโต้วาทีครั้งนี้เต็มไปด้วยความดุเด็ดเผ็ดร้อน ตั้งแต่วินาทีแรกไปจนถึงวินาทีสุดท้ายของการโต้วาทีครั้งนี้ปรากฏว่า ประธานาธิบดีทรัมป์เป็นฝ่ายปล่อยหมัดรัวเข้ารุกคลุกวงในตามความคาดหมาย เพราะถือว่าการโต้วาทีครั้งนี้จะเป็นโอกาสดีที่เขาจะต้องลุยเพื่อความอยู่รอดอย่างไม่มีทางเลือก เนื่องจากคะแนนนิยมของโจ ไบเดน คู่แข่งกำลังนำอยู่ระหว่าง 8% ถึง 10% เลยทีเดียว!!! ในการโต้วาทีครั้งแรกนี้จะเห็นได้ว่าประธานาธิบดีทรัมป์มักจะทะลุกลางปล้องขัดจังหวะทั้งกับโจ ไบเดนและกับผู้ดำเนินการรายการเกือบตลอดเวลา ทั้งๆที่คริส วอลเลส มีความเชี่ยวชาญเจนเวทีมาอย่างโชกโชนแล้วก็ตาม แต่ยังแทบจะตั้งตัวไม่ติด เพราะประธานาธิบดีทรัมป์ทำทุกวิถีทางให้คู่แข่งของเขาเกิดอาการสับสนงงงวยซวนเซเสียหลัก และมีผลทำให้โจ ไบเดนถึงกับอดรนทนไม่ไหวต้องเอ่ยปากออกไปว่า “ขอให้ทรัมป์หุบปากได้ไหม? เพราะทุกอย่างที่ออกมาจากปากของทรัมป์ ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องไม่จริงแทบทั้งสิ้น” โดยตอนหนึ่งไบเดนได้กล่าวว่า “ประธานาธิบดีทรัมป์ทำตัวเหมือนตัวตลกในคณะละครสัตว์” และยังกล่าวอีกว่า “โดนัลด์ ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีที่แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ” การที่ประธานาธิบดีทรัมป์คอยแย่งพูดขัดจังหวะอยู่เรื่อยๆนั้น มีผลทำให้ผู้ฟังยากที่จะปะติดปะต่อเรื่องราวของการโต้วาทีครั้งนี้ได้ว่า ทั้งสองพูดกันเรื่องอะไร การโต้วาทีจึงเป็นไปอย่างขลุกขลักตลอดรายการ โดยนักวิเคราะห์การเมืองทั่วไปต่างลงความเห็นว่า “ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา การโต้วาทีของผู้เข้าแข่งขันเลือกตั้งตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯครั้งนี้ ถือได้ว่าเลวร้ายที่สุด” โดยตอนหนึ่งประธานาธิบดีทรัมป์ได้กล่าวปฏิเสธที่จะยอมรับผลการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น อีกทั้งเขายังไม่ยอมเอ่ยปากตำหนิคนผิวขาวที่ออกมาใช้ความรุนแรงในเรื่องของการเหยียดสีผิว และประธานาธิบดีทรัมป์ยังได้กล่าวดูถูกโจ ไบเดนว่า ขณะที่เรียนหนังสือก็มิใช่นักศึกษาที่เรียนเก่งกาจแต่อย่างใด โดยประธานาธิบดีทรัมป์อาจจะลืมไปว่าตัวเขาเองก็ไม่ยอมเปิดเผยเกรดตอนที่เขาเรียนหนังสือ อีกทั้งพี่สาวของเขายังได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า เมื่อตอนที่เขาจะเข้าไปศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย โดนัลด์ ทรัมป์ก็ยังจ้างให้เพื่อนของเขา เข้าไปสอบแทนตัวเขาอีกด้วย!!! อย่างไรก็ตามจะเห็นได้ค่อนข้างเด่นชัดว่าในการโต้วาทีครั้งนี้เป็นไปอย่างสุดป่วน เนื่องมาจากการที่ประธานาธิบดีทรัมป์โพล่งปากคอยขัดจังหวะกวนอกกวนใจอยู่ตลอดเวลา มีผลทำให้โจ ไบเดนลังเลเสียศูนย์ตอบโต้ได้อย่างไม่ค่อยชัดเจน และยังทำให้ผู้ดำเนินรายการหัวหมุนไม่สามารถควบคุมเวทีการโต้วาทีได้ ทั้งนี้ก็อาจจะเป็นเพราะว่าทรัมป์เป็นไม้เบื่อไม้เบากับผู้ดำเนินรายการคนนี้อีกด้วยเช่นกัน คราวนี้เราลองหันไปดูกันว่า ใครคือผู้ชนะในการโต้วาทีนัดแรก เนื่องจากต่างฝ่ายต่างพากันออกมากล่าวโม้ว่า ตนเองคือฝ่ายชนะ แต่จากการหยั่งเสียงของซีเอ็นเอ็นหลังจากการโต้วาทีเสร็จสิ้นลงไปแล้วนั้น มีผลปรากฏออกมาว่า โจ ไบเดนเป็นฝ่ายชนะนำเหนือประธานาธิบดีทรัมป์อยู่ที่ 60% ต่อ 28% โดยประเด็นที่ว่าใครคือผู้นำเสนอความเป็นจริงได้มากกว่า ปรากฏว่ามีผู้เล็งเห็นว่าโจ ไบเดนน่าเชื่อถือกว่าถึง 62% ต่อ 29% ในประเด็นที่ว่าการปะทะฝีปากด้วยหลักความเป็นจริงผู้ชมคิดว่า โจ ไบเดน สามารถโจมตีประธานาธิบดีทรัมป์ได้ตรงประเด็นกว่าถึง 69% ต่อ 32% ในประเด็นหลักๆอื่นอาทิเช่น นโยบายสวัสดิการด้านสุขภาพผู้ชมคิดกันว่า โจ ไบเดน มีนโยบายมานำเสนอได้ดีกว่า 66% ต่อ 32% ส่วนการแก้ปัญหาโรคระบาดโควิด19 ที่กำลังแพร่ระบาดอย่างรุนแรงในสหรัฐฯขณะนี้ผู้ชมก็คิดว่า โจ ไบเดน มีนโยบายที่เข้าถึงมากกว่าประธานาธิบดีทรัมป์ถึง 64% ต่อ 34% สำหรับนโยบายการแก้ปัญหาด้านเศรษฐกิจนั้น ผู้ชมก็เชื่อว่า นโยบายของโจ ไบเดน ดีเหนือกว่าประธานาธิบดีทรัมป์ 50% ต่อ 48% ส่วนด้านการเป็นผู้นำนั้นผู้ชมก็คิดกันว่าโจ ไบเดน มีความเป็นผู้นำเหนือกว่าประธานาธิบดีทรัมป์ 55% ต่อ 43% และโดยภาพรวมแล้วผู้ชมการโต้วาทีครั้งนี้ต่างคิดกันว่า ศักยภาพในด้านการแก้ปัญหานั้น โจ ไบเดน มีศักยภาพเหนือกว่าประธานาธิบดีทรัมป์ถึง 63% ต่อ 30% ด้วยเช่นกัน อนึ่งล่าสุดเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมานี้หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ได้ออกมาเปิดเผยว่า ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา ประธานาธิบดีทรัมป์ไม่ได้จ่ายภาษีเงินได้ถึง 10 ปี และเมื่อปี 2016 และปี 2017 เขาก็จ่ายภาษีเงินได้แค่เพียง 750 เหรียญเท่านั้น ทั้งนี้ตามสถิติของสำนักงบประมาณแห่งสภาคองเกรสได้ระบุเอาไว้ว่า โดยถัวเฉลี่ยของคนอเมริกันทั่วไป จะต้องจ่ายภาษีเงินได้ประมาณ 2,200 เหรียญต่อปี สำหรับ “ประธานาธิบดีบารัก โอบามา” จ่ายภาษีให้แก่รัฐบาลสหรัฐฯในปีแรกเป็นเงิน 1,792,414 เหรียญ และ “ประธานาธิบดีบิล คลินตัน” ก็ได้จ่ายภาษีให้รัฐบาลสหรัฐฯในปีแรกเป็นเงิน 62,670 (จาก The Guardian เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2020) ทันทีที่ข่าวนี้ถูกเปิดเผยออกมา ประธานาธิบดีทรัมป์ก็ได้ออกมาแก้ต่างแถลงว่า “ข้อมูลที่เอามาเปิดเผยนั้น เป็นข้อมูลเท็จ” แต่กลับไม่เป็นผล ทำให้เขาถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในวงกว้างและยังปรากฎอีกด้วยว่า บรรดานักการเมืองของค่ายพรรครีพับลิกันต่างปิดปากเงียบไม่มีใครออกมากล่าวปกป้องประธานาธิบดีทรัมป์เลยแม้แต่คนเดียว!!! เท่าที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าประเด็นเรื่องการจ่ายภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์นั้น เหมือนมีอะไรแปลกๆซุกหมกเม็ดอยู่ในกอไผ่ตลอดมา ตั้งแต่การแข่งขันเลือกตั้งเมื่อปี 2016 ขณะที่เขาแข่งขันกับฮิลลารี คลินตัน ประธานาธิบดีทรัมป์ก็พยายามที่จะหลีกเลี่ยงไม่ยอมเปิดเผยหลักฐานการเสียภาษี ซึ่งเป็นการขัดต่อธรรมเนียมประเพณีของผู้ที่เข้าไปแข่งขันเลือกตั้งในตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ โดยครั้งนั้นโดนัลด์ ทรัมป์อธิบายว่า “ข้าพเจ้ายินดีจะเปิดเผยหลักฐานเสียภาษี หลังจากวันเลือกตั้งเสร็จสิ้นลง” แต่เวลาได้ผ่านมาแล้วถึงสี่ปีประธานาธิบดีทรัมป์ก็ยังคงอ้างอยู่ตลอดเวลาว่า “สรรพากรกำลังตรวจสอบภาษีของเขาอยู่” จึงถือได้ว่า โดนัลด์ ทรัมป์ คือประธานาธิบดีคนแรกที่ไม่ได้เปิดเผยหลักฐานการเสียภาษี อนึ่งหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ได้ออกมาเปิดเผยเพิ่มเติมอีกว่า ประธานาธิบดีทรัมป์เป็นหนี้ทั่วไปมากถึง 421 ล้านเหรียญ ที่เขาจะต้องจ่ายในอีกสี่ปีข้างหน้า และหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ยังระบุว่า ประเมินแล้วประธานาธิบดีทรัมป์อาจจะต้องถูกสรรพากรปรับเป็นเงินถึง 100 ล้านเหรียญอีกด้วย กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นหากว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้รับชัยชนะได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีในสมัยที่สอง ก็ย่อมจะสร้างความเสี่ยงให้แก่สหรัฐฯและนานาชาติในวงกว้าง อาทิ เป็นการเสี่ยงต่อการฟื้นฟูภาวะเศรษฐิจสหรัฐฯ เป็นการเสี่ยงต่อการบริหารจัดการโรคระบาดโควิด-19 เป็นการเสี่ยงต่อการสร้างความสมานฉันท์ภายในประเทศ เป็นการเสี่ยงต่อการให้ความร่วมมือกับนานาชาติ เป็นการเสี่ยงต่อระบอบประชาธิปไตยของสหรัฐฯที่ในอดีตเคยเป็นแม่แบบที่ดีให้แก่นานาประเทศ แต่อย่างไรก็ตามหากคนอเมริกันยอมทนรับความเสี่ยงเหล่านี้ได้ ก็ช่างน่าเป็นห่วงต่อมวลมนุษยชาติทั้งหมดบนโลกกลมๆใบนี้ละครับ