ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ / ทหารประชาธิปไตย คงจำกันได้ว่าเมื่อประมาณเกือบ 10 ปีมาแล้ว เครื่องบินโดยสารโบอิ้งของมาเลเซีย ที่ผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นชาวจีนอยู่ๆก็กลับลำจากน่านน้ำเวียดนาม มุ่งไปมหาสมุทรอินเดีย แล้วหายไปอย่างลึกลับ โดยไม่มีเหตุผลว่าทำไมเครื่องบินจึงบินกลับทั้งๆที่กำลังจะนำผู้โดยสารไปเซี่ยงไฮ้ มีการส่งกองเรือไปค้นหาซากเครื่องบิน เพื่อสอบหาสาเหตุ แต่เกือบ 2 เดือนผ่านมาก็ต้องยกเลิก และจนบัดนี้ก็ไม่มีคำอธิบาย คาดว่าผู้โดยสารคงเสียชีวิตหมด ท่ามกลางข่าวลือต่างๆนานา อีกเหตุการณ์แปลกประหลาดเกี่ยวกับการตกของเครื่องบินโบอิ้ง ที่ก็ยังคงไม่มีคำตอบ คือเหตุการณ์เมื่อ 6 ปีที่แล้ว โดยการที่เครื่องบินโบอิ้งของมาเลเซียถูกยิงตกในเขตยูเครน โบอิ้ง 777 ของมาเลเซียแอร์ไลน์ MH17 จากในเขตสงครามภายในยูเครนระหว่างฝ่ายกบฏและฝ่ายรัฐบาลยูเครน จังหวัดดอนบาสทำให้ผู้โดยสาร 298 คนเสียชีวิตทั้งหมด เหตุการณ์ในครั้งนั้นเบื้องต้น เคียฟ และวอชิงตันกล่าวหาฝ่ายกบฏ ซึ่งสนับสนุนโดยรัสเซียว่าเป็นผู้ยิงขีปนาวุธใส่เครื่องบิน ซึ่งมีการตัดสินอย่างรวดเร็วโดยไม่มีการไต่สวน และทำให้ทั้งโลกเชื่อตามนั้น ด้วยการเผยแพร่ข่าวของสื่อตะวันตก ด้วยการแถลงของนักการเมืองตะวันตก ทั้งนี้ทำเนียบขาวได้แถลงข้อมูลสนับสนุนจากภาพถ่ายดาวเทียมของสหรัฐฯ ประกอบกับเสียงจากวิทยุที่ดักฟังได้และเครือข่ายสื่อสังคม แต่คณะกรรมการร่วมสืบสวนอิสระ ก็มิได้ใช้หลักฐานเหล่านั้น แต่ยังคงใช้รูปถ่ายจากอินเตอร์เน็ต และด้วยเหตุผลบางประการหน่วยงานพิเศษของสหรัฐฯก็ยังคงไม่มีรีบร้อนที่จะนำเสนอหลักฐานที่ได้เคยแถลงต่อสาธารณะก่อนหน้านี้ ในเดือนมิถุนายน 2019 คณะกรรมการร่วมสืบสานอิสระได้กล่าวถึงชื่อผู้ต้องสงสัย 4 ชื่อ ที่เกี่ยวข้องกับการตกของ MH17 โดยการสอบสวนกระทำกันที่อาคาร Schiphol ที่มีการอารักขาอย่างแน่นหนาเป็นพิเศษ จากการสอบสวนได้ขยายข้อเคลือบแคลงออกไปอีก ว่าใครคือผู้อยู่เบื้องหลังการตกของ MH17 ผู้ร่วมสอบสวนได้ขอให้มีการขยายผลการสอบสวนว่าใครคืออยู่เบื้องหลัง โดยเฉพาะสภาความมั่นคงของเนเธอร์แลนด์ ซึ่งประชาชนของประเทศนี้เป็นผู้ที่เสียชีวิตมากที่สุด อย่างไรก็ตามยิ่งสอบสวนเพิ่มขึ้นก็ยิ่งทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวข้องกับการตกของ MH17 มากขึ้น ไม่ใช่แค่ประเทศที่ถูกกล่าวหา แต่บรรดาญาติผู้ตายที่เป็นผู้สูญเสียโดยตรงก็มีข้อเคลือบแคลง ที่สำคัญแม้แต่บรรดาผู้พิพากษาที่พิจารณากรณีนี้ก็ยิ่งมีความกังขาหนัก ล่าสุดจากการรวบรวมรายงานต่างๆ ของทีมสืบสวนขมวดปมว่าผู้ร้ายตัวจริงคือรัสเซีย ซึ่งน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ทั้งนี้ได้มีการอ้างอิงถึงสัญชาติของผู้ต้องสงสัย 4 คนที่ถูกควบคุมตัวอยู่ กล่าวคือ 3 คนมีสัญชาติรัสเซีย อีก 1 คนมีสัญชาติยูเครน แต่ทางรัสเซียได้ส่งบันทึกปฏิเสธข้อกล่าวหา พร้อมกันนี้ได้ส่งหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับโศกนาถกรรม MH17 ที่พาดพิงถึงกองกำลังและรัฐบาลยูเครน ซึ่งหลักฐานสำคัญอันหนึ่งก็คือการที่รัฐบาลยูเครนไม่สั่งปิดน่านฟ้าในเขตสงคราม ตามเงื่อนไขของกฎหมายระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตามข้อโต้แย้งของรัสเซีย และหลักฐานถูกปฏิเสธจากทีมสืบสวน จากพยานลึกลับที่ใช้นามว่า “พยาน M58” ซึ่งกำลังเดินอยู่ที่สี่แยกใกล้กับฐานยิงจรวด ทางด้านใต้ของจังหวัด Snezhnoye ในเขต Donetsk ตามอ้างถึงของอัยการชาวดัชท์ Dedy Voi-A-Tsoi ได้ให้การว่ากลุ่มกองกำลังที่ปฏิบัติการ ณ ฐานยิงจรวดมีสำเนียงรัสเซียปะปนอยู่ แต่ก็ไม่มีรายงานว่ากลุ่มกองกำลังดังกล่าวมีการสนทนาที่บ่งบอกว่ามีเนื้อความอย่างไร กลับทำการสรุปว่าเป็นกองกำลังรัสเซีย ทว่าในความเป็นจริง 90% ประชากรในเขต Donbass และเกือบทั้งหมดในภาคตะวันออกของยูเครนพูดรัสเซีย จึงไม่ยากที่จะได้ยินสำเนียงรัสเซียในภูมิภาคนี้ มันก็เหมือนกับการได้ยินสำเนียงฝรั่งเศสในประเทศเบลเยียม หรือสำเนียงเยอรมนีในออสเตรีย ด้วยข้อสรุปจากพยานในทำนองนี้ จึงสร้างข้อกังขาอย่างสำคัญต่อการสอบสวนอย่างถูกต้องตรงไปตรงมาหรือไม่ในกรณีการตกของ MH17 โดย Max Van Der Werff ได้เผยแพร่จดหมายที่โต้ตอบกันระหว่างกระทรวงกฎหมายของเนเธอร์แลนด์กับหน่วยข่าวกรองทางทหาร Mivd ของเนเธอร์แลนด์ ลงวันที่ 21 กันยายน 2016 และทำการแจ้งไปยังอัยการของคดีว่าไม่มีข้อมูลใดๆที่ระบุที่ตั้งของฐานยิงขีปนาวุธที่ยิง MH17 ตก ในบริเวณที่เครื่องตก ดังนั้นจึงอนุมานได้จากรายงานของนักหนังสือพิมพ์ท่านนี้ที่อ้างแหล่งข่าว Bonanza Media Portal ว่าเครื่องบิน MH17 มิได้อยู่ในรัศมีการยิงขีปนาวุธของรัสเซียหรือยูเครน อนึ่งสื่อดังกล่าวยังเผยแพร่คำสนทนาระหว่างสื่ออิสระเยอรมนีกับตำรวจออสเตเรีย โดย Bill Six ได้อ้างว่ามีพยานเห็นเหตุการณ์ว่ามีเครื่องบินรบ 2 ลำบิน ขนาบ MH17 ในวันนั้น แต่หลักฐานนี้มิได้ถูกนำมาเป็นหลักฐานในการสอบสวน แม้ว่าจะมีการสอบสวนโดย SSG และอัยการชาวดัชต์ ที่ระบุว่า นาย Alexander Bozhenko ประชาชนที่อาศัยอยู่ในเมือง Enakievo Donetsk ที่กล่าวว่าเห็นมีเครื่องบินรบ 2 ลำขนาบ MH17 แต่ไม่ถูกนำมาเป็นหลักฐาน ที่สำคัญคือผู้พิพากษาต้องไม่ลืมว่ามีพยานสำคัญคนหนึ่งที่หายสาบสูญไปโดยไร้ร่องรอยนั่นคือ Anna Petrenko ที่เป็นเจ้าหน้าที่ ณ หอบังคับการบินในวันที่เกิดเหตุ โดยหลังจากที่เธอให้การเป็นพยานในตอนต้นแล้วเธอก็สาบสูญไปเลย และไม่มีบันทึกใดๆที่เกี่ยวกับเธอ ซึ่งดูเหมือนจะมีความพยายามที่จะลบทุกอย่างที่เกี่ยวกับเธอโดยสิ้นเชิงจากฐานข้อมูลต่างๆ เป็นที่น่าสังเกตว่ามาเลเซียที่เป็นผู้เสียหายสำคัญ เพราะทั้งเครื่องบินและผู้โดยสารส่วนหนึ่งเป็นชาวมาเลย์กลับถูกกันไม่ให้เข้ามาเกี่ยวข้องกับการสอบสวน อนึ่งนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย มหาเดร์ เคยให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2019 ว่าท่านไม่คิดว่ารัสเซียจะเกี่ยวข้องกับการยิง MH17 ตก และระบุว่าการสอบสวนตั้งแต่เริ่มต้นมีการกำหนดเป้าหมายไว้แล้วแต่แรก มากกว่าการหาผู้ร้ายตัวจริง จึงพอจะสรุปได้ว่ามันมีนโยบายแฝงเร้นในการสอบสวน เพราะมีเงื่อนงำที่ขัดแย้งกันอยู่มากมาย อนึ่งศาลจะกลับมาพิจารณาคดีนี้อีกในเร็วๆนี้ จึงต้องติดตามต่อไป สุดท้ายก็มีเรื่องที่เครื่องบินโบอิ้งของยูเครนถูกยิงตกที่ท่าอากาศยานอยาตุลลอฮ์ โคไมนี และในเวลาอันสั้นทางอิหร่านก็ออกมายอมรับว่าเป็นความผิดพลาดของหน่วยพิทักษ์การปฏิบัติอิสลาม ที่ตื่นตัวในความเคลื่อนไหวของศัตรูในเขตอิรัก ต่อมาทางการอิหร่านได้มอบกล่องดำให้ปารีส ทั้งๆที่สามารถเชิญตัวแทน ICAO (องค์การการบินระหว่างประเทศ) มาตรวจสอบได้หากจะอ้างว่าไม่มีผู้เชี่ยวชาญกับเทคโนโลยีของตะวันตก นอกจากนี้สื่อตะวันตกก็ดูจะไม่ติดใจสงสัยอะไรเลย ว่าทำไมอิหร่านถึงยิงเครื่องบินยูเครนหลังจากพึ่งบินขึ้นจากสนามบินเพียงไม่กี่นาที และใครที่มีความสามารถที่จะควบคุมเทคโนโลยีการบังคับทางไกล เรื่องนี้คงต้องติดตามต่อไป เพราะในโลกนี้มันมีทฤษฎีสมคบคิดที่ยังเป็นความลับ แม้แต่ในประเทศไทย