เมื่อวันที่ 29 ก.ย.63 ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองโดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม.พร้อมด้วย พล.ต.ต.พรชัย ขันตี รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ปิติ นิธินนทเศรษฐ์ ผบก.ตม.1, พ.ต.อ.ภัคพงศ์ สายอุบล รอง ผบก.ตม.1 พ.ต.อ.กีรติศักดิ์ ก้องเกียรติศิริ ผกก.สส.บก.ตม.1 พร้อมชุดสืบสวนฯ แถลงผลการจับกุมคนร้าย จำนวน 2 คดี คดีที่ 1 เจ้าพนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง กองกำกับการสืบสวน บก.ตม.1 ได้สืบสวนทราบว่ามีกลุ่มบุคคลต่างด้าวสัญชาติเมียนมา ลักลอบทำงานนอกสิทธิ และทำเอกสารราชการปลอมเพื่อใช้ประกอบการขอใบอนุญาตทำงานและขออยู่ต่อในราชอาณาจักร โดยเปิดเป็นร้านขายของชำอยู่ภายในตลาดนัดใกล้สถานทูตเมียนมา เพื่อปกปิดการกระทำความผิด เนื่องด้วยตลาดนัดดังกล่าวตั้งอยู่ใกล้กับสถานทูตเมียนมา จึงทำให้มีบุคคลต่างด้าวสัญชาติเมียนมา มาจับจ่ายใช้สอยของใช้เป็นจำนวนมาก จึงไม่เป็นที่สังเกตของบุคคลโดยทั่วไป ต่อมาเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนฯ ได้สืบสวนทราบว่ากลุ่มคนร้ายได้ตั้งร้านขายของชำอำพรางการกระทำผิด อยู่ในบริเวณตลาดลานทรายพลาซ่า ถ.สาธุประดิษฐ์ แขวงบางโพงพาง เขตยานนาวา กรุงเทพฯ จึงเฝ้าสังเกตพฤติกรรมของคนร้าย โดยได้แฝงตัวเป็นประชาชนเลือกซื้อสินค้าภายในตลาดและสังเกตการณ์ดูพฤติกรรมของคนร้าย พบเห็นบุคคลต่างด้าวเดินเข้าออกร้านขายของชำดังกล่าวเป็นจำนวนมาก โดยไม่ได้มาซื้อสินค้าแต่ยื่นซองเอกสารและรับซองเอกสารจากกลุ่มคนร้ายที่ทำทีขายของอยู่ในร้าน หลังจากที่ได้เฝ้าสังเกตพฤติกรรมของคนร้ายจนมั่นใจแล้ว เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนฯ จึงแสดงตนเป็นเจ้าหน้าที่และขอตรวจสอบร้านขายของชำดังกล่าว พบนายอ่อง สัญชาติเมียนมา และหญิงชาวเมียนมา อีก 2 ราย อยู่ในที่เกิดเหตุ พร้อมกับกล่องบรรจุตราประทับรูปแบบต่างๆ เอกสารราชการ และหนังสือเดินทางเมียนมาอีกเป็นจำนวนมาก เจ้าพนักงานฯจึงได้สอบสวนจนนายอ่อง รับสารภาพว่า รับจ้างเป็นนายหน้าทำใบอนุญาตทำงานและการขออยู่ต่อในราชอาณาจักรแก่แรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมา โดยจะรับหนังสือเดินทางมาและดำเนินการจัดการเอกสารให้ทั้งหมด โดยที่ตนอาศัยอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลานาน จนสามารถพูดและอ่านภาษาไทยจึงสามารถติดต่อกับหน่วยงานราชการต่างๆได้ นายอ่อง ให้การต่อไปว่า เดิมรับจ้างพาแรงงานต่างด้าวไปขอต่อใบอนุญาตทำงาน แต่ต่อมามีแรงงานต่างด้าวมาว่าจ้างตนเป็นจำนวนมาก จึงเกิดความโลภคิดปลอมตราประทับของเจ้าหน้าที่และเอกสารราชการ เพื่อนำไปประกอบการขอใบอนุญาตทำงาน โดยจะเรียกเก็บค่าบริการจากแรงงานต่างด้าวที่มาว่าจ้างซึ่งลักลอบทำงานผิดกฎหมายเป็นเงิน 2,000 - 3,000 บาท ต่อคน ซึ่งเอกสารที่ทำปลอมขึ้นมาประกอบไปด้วย ใบรับคำขอของกรมการจัดหางาน ใบรับรองแพทย์ของโรงพยาบาลรัฐและเอกชน ใบเสร็จรับเงินของโรงพยาบาลรัฐและเอกชน ตราประทับของหน่วยงานราชการและเอกชน และตราประทับของข้าราชการผู้มีอำนาจลงนาม ส่วนรูปแบบตราประทับและเอกสารต่างๆได้ลอกเลียนแบบมาจากต้นฉบับจริง ที่ตนเคยพบเห็นมาจากการรับพาแรงงานต่างด้าวไปทำใบอนุญาตทำงาน โดยตนรับจ้างทำมานานแล้วแต่ได้เปลี่ยนสถานที่และหลบหนีการจับกุมเรื่อยมา โดยจะใช้ที่ชุมชนที่มีแรงงานต่างด้าวอาศัยอยู่จำนวนมาก และจะเปิดร้านขายสินค้าอำพรางการกระทำความผิด เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนฯ จึงรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดเพื่อทำการสืบสวนขยายผล หาเครือข่ายกลุ่มบุคคลต่างด้าวที่กระทำความผิดและมีพฤติการณ์เป็นภัยต่อสังคม เพื่อป้องกันปราบปรามและจับกุมไม่ให้มีการกระทำความผิดอีก และนำตัวกลุ่มคนร้ายส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป คดีที่ 2 กองกำกับการสืบสวน กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 1 (กก.สส.บก.ตม.1) ได้รับคำสั่งจาก พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และ พล.ต.ต.ปิติ นิธินนทเศรษฐ์ ผู้บังคับการตรวจคนเข้าเมือง 1 ให้ทำการสืบสวนกรณีคนต่างด้าวรับเป็นนายหน้าต่อวีซ่าให้แก่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ทาง พ.ต.อ.ภัคพงศ์ สายอุบล รอง ผบก.ตม.1 ซึ่งรับผิดชอบงานสืบสวนป้องกันปราบปราม ได้ทำการสืบสวนหาข่าวและเเจ้งรับเบาะแสจากสื่อมวลชนและประชาชนในการเเจ้งข่าวอาชญากรรมต่างชาติที่ได้ให้ช่องทางติดต่อไว้ จึงได้สั่งการให้ชุดสืบสวนของ กก.สส.บก.ตม.1 ลงพื้นที่สืบสวนหาข่าวที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งตามเป้าหมายว่า จะมีคนต่างชาติได้เข้ามาติดต่อกับนายแพทย์ที่ประจำอยู่โรงพยาบาล เพื่อให้ออกเอกสารใบรับรองแพทย์ให้กับคนต่างชาติ ที่ต้องการพำนักอาศัยอยู่ในราชอาณาจักรเป็นระยะยาว โดยมีการเสนอผลตอบแทนต่างๆ ให้กับนายแพทย์ และยังได้รับปากว่าจะส่งผู้ป่วยชาวต่างชาติมาเป็นลูกค้าของโรงพยาบาลอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งนายแพทย์หลายคนได้แจ้งข้อมูลไปยังทางผู้บริหารของโรงพยาบาลทราบว่า คนต่างชาติรายนี้มีพฤติกรรมที่น่าสงสัยและเกรงว่าจะไปหลอกลวงชาวต่างชาติทำให้โรงพยาบาลได้รับความเสียหาย เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจึงได้ทำการประสานไปยังโรงพยาบาลเอกชนดังกล่าว เพื่อขอข้อมูลและได้ทำการเฝ้าติดตามคนต่างชาติดังกล่าว จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนได้รับแจ้งจากทางโรงพยาบาล ว่า ชาวต่างชาติดังกล่าวจะเข้ามาติดต่อกับทางโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจึงได้เข้าแสดงตนเป็นเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง เพื่อขอตรวจสอบเอกสารการเดินทาง ซึ่งชาวต่างชาติดังกล่าวไม่สามารถนำเอกสารมาแสดงได้ จึงได้นำชื่อและนามสกุล วันเดือนปีเกิดตรวจสอบ จากระบบสารสนเทศสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองพบว่าชื่อนาย FIROOZI อายุ 46 ปี สัญชาติอีหร่าน เดินทางเข้ามาเมื่อวันที่ 21 ก.ค.58 ครบกำหนดอนุญาต 18 ต.ค.58 และไม่มีการขออยู่ต่อฯ แต่อย่างใด การอนุญาตสิ้นสุดมากว่า 1,800 วัน จากนั้นจึงได้นำตัวไปค้นยังที่พักเพื่อค้นหาใบรับรองแพทย์ แต่ไม่พบเอกสารแต่อย่างใด จากคำให้การนาย FIROOZI อ้างว่า ตนเองได้พยายามติดต่อนายแพทย์ในโรงพยาบาลต่าง ๆ เพื่อขอออกใบรับรองแพทย์ไว้ให้คนต่างชาติที่ต้องการพำนักอยู่ในระยะยาว ซึ่งอยู่ในช่วงโควิดมีคนต่างชาติได้เข้ามาติดต่อให้ตนทำเรื่องขออยู่ต่อในประเทศไทยจำนวนมาก แต่ก็ถูกปฏิเสธจากนายแพทย์และจากโรงพยาบาลหลายแห่ง จนกระทั่งมาถูกเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองทำการจับกุม เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนฯ จึงได้แจ้งข้อหา เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด และนำตัวส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป สตม.ขอเรียนให้ท่านทราบว่า เรามีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่างๆ รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซอยสวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กทม.10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th