เมื่อ 28 ก.ย. 2563 นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เฟชบุ๊คไลฟ์ peace talk โดยเชื่อว่า แม้ประชาชนไม่มีสิทธิ์เลือกรัฐบาลได้ แต่ถ้าขบวนการต่างๆ ลดข้อเรียกร้องให้พุ่งเป้ากดดันเฉพาะรัฐบาลและรัฐสภาแล้ว จะมีประชาชนออกมาชุมนุมในวันที่ 14 ตุลาอย่างมืดฟ้ามัวดิน นายจตุพร กล่าวว่า ประเทศไทยขณะนี้กำลังเดินไปพบทางตันเข้าไปทุกขณะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี บอกว่ายังไม่ท้อ และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ปฏิเสธไม่มีรัฐบาลแห่งชาติ รวมทั้งมีนักวิเคราะห์การเมืองกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงในพรรคเพื่อไทยแตกต่างกันไป อย่างไรก็ตาม หลายปีที่ผ่าน ประชาชนไม่มีสิทธิ์เลือกรัฐบาล เพราะท้ายที่สุดต้องอยู่กับวังวนรัฐบาลจากรัฐประหารทุกครั้ง "ผมมีความเชื่อว่า เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ยืนกราน และไม่รู้จะแข็งแรงกันได้อีกกี่วันว่า ไม่ลาออก ไม่ยุบสภา จึงทำให้ดัชนีการเมืองด้านอื่นต้องปิดประตูไปโดยปริยาย ยกเว้นจะมีขบวนการรัฐประหารพังประตูเข้าไปอีก” รวมทั้ง เชื่อว่า การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างในพรรคเพื่อไทยยังไม่ถึงขั้นจะเป็นการเปลี่ยนรัฐบาล ส่วนกลไกที่ออกแบบการสืบทอดอำนาจกันมานั้น มีความแยบยลทุกขึ้นตอน การมี มาตรา 272 ให้ สว.เลือกนายกฯได้ เป็นเพียงการขู่พรรคการเมือง แม้ ปชป. กลับคำพูดมาสนับสนุนตั้งรัฐบาล แต่มีเงื่อนไขบางๆในเรื่องแก้ รธน.เป็นทางออก ซึ่งสุดท้ายจะรักษาคำพูดการแก้ รธน.ไว้ได้อีกหรือไม่ “ผมเคยย้ำมาหลายครั้งว่า รธน.อาจไม่ได้แก้สักมาตรา หรือถ้ารับแก้เพียงร่างเดียว ก็ไม่ทำให้สถานการณ์ต่างๆดีขึ้นมา อีกอย่างการตัดสินใจยื้อ แก้ รธน.ไปอีก 1 เดือนยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง เมื่อผสมกับตัวรัฐบาลเองยังมีปัญหามากอยู่แล้ว ท้ายที่สุดจะกลายเป็นเงื่อนไขเรียกคนให้ไปบรรจบกันในวันที่ 14 ตุลา และอาจออกมาสู่ถนนโดยไม่จำเป็น” นอกจากนี้ ประกอบกับรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐบางคน พูดราวกับดูแคลนผู้ชุมนุมว่า มีคนแค่หยิบมือเดียว ซึ่งจะทำให้เกิดการพิสูจน์กันให้เกิดคนมาร่วมชุมนุมของจริงจำนวนมาก ดังนั้น สภายื้อลงมติแก้ รธน. และ ส.ส.บางคนท้าทายอารมณ์ความรู้สึกประชาชน ซึ่งจอมพลประภาส จารุเสถียร ต้องพังพินาศ ด้วยการข่าวเช่นนี้มาแล้ว "ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงก่อน 14 ตุลาแล้ว เมื่อประชาชนไม่สบายใจอยู่แล้ว และยังถูกถากถางซึ่งหน้าอีก คงต้องถูกคนออกชุมนุมของจริงแบบมืดฟ้ามัวดิน ดังนั้น 14 ตุลา คนจะมามากกว่า 19 กันยา อันเป็นผลมาจากการถากถาง" อีกอย่าง สิ่งสะท้อนรัฐบาลขาลงนั้น ต้องพิจารณาจากกลไกรัฐต่างๆจะเพี้ยนกันหมด ในช่วงก่อนเกิดเหตุการณ์พฤษภา 2535 พล.อ.สุจินดา คราประยูร ไปแจกผ้าห่มให้ประชาชนในหน้าร้อน ส่วนยุคนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ไปบอกเรื่องดับไฟป่าหน้าฝน ถ้าเปรียบเป็นรัฐบาลช่วงขาลงคงไม่แตกต่างกัน ส่วนการหาตัว รมว.คลัง คนใหม่นั้น ยังใช้เวลาหลายวัน ได้แต่พูดว่ามีแล้ว แต่สภาพบ้านเมืองมีปัญหาเศรษฐกิจจะว่างเว้น รมว.คลังถึงขนาดนี้ไม่ได้ ดังนั้นการแก้ปัญหาชาติ จึงไม่สอดคล้องกับความเดือดร้อนของประชาชน "สิ่งหนึ่งที่ประชาชนต้องการเห็นคือ ต้องมีรัฐบาลที่ทำเพื่อประชาชนเหนืออื่นใด และสามารถแก้ไขได้ทันท่วงที อีกทั้งหลายเรื่องในอดีตไม่เคยเกิดขึ้น แต่เกิดในยุคสมัยนี้ ซึ่งปล่อยให้สถานการณ์มาถึงจุดนี้ได้อย่างไร โดยไม่มีความพยายามของรัฐบาลที่จะกระทำการหรืออธิบายให้เกิดความกระจ่างในข้อเท็จจริงเลย ดังนั้น ขบวนการเรียกร้องต่างๆ ถ้าจำกัดข้อเรียกร้องมายังรัฐบาลกับรัฐสภาแล้ว วันที่ 14 ตุลา คนจะออกมาอย่างมืดฟ้ามัวดิน" นายจตุพร กล่าวว่า สถานการณ์ในขณะนี้จะเกิดการลอยตัว ถ้าไม่มีการปรับเปลี่ยนข้อเรียกร้อง โดยเอาเฉพาะปัญหาของรัฐบาลกับการแก้ รธน.แล้ว จะทำให้เดินไปสู่เป้าหมายลำบากมากขึ้น ดังนั้น ท่วงทำนองวันนี้ไม่รู้ใครติดกับดักใคร รวมความแล้ว รัฐบาลแบบไหนเราก็ไม่มีสิทธิ์เลือก เพราะเราต้องอยู่กับรัฐบาลแบบนี้ เมื่อนายกฯไม่ลาออก ไม่ยุบสภา ซึ่งเป็นโลกความเป็นจริงที่อยู่กับรัฐบาลแบบรัฐประหาร โดยการใช้ พรก.ฉุกเฉิน เท่ากับยึดอำนาจจากรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆมาอยู่ที่นายกฯเบ็ดเสร็จ ขณะที่โควิด-19 ของไทยไม่น่ากังวล กลับต้องมี พรก.ฉุกเฉิน เพราะเคยชินกับการใช้อำนาจ อย่างไรก็ตาม เรื่องสำคัญของไทยขณะนี้ ไม่ใช่เรื่องโควิด-19 และการใช้ พรก.ฉุกเฉิน แต่เป็นเรื่องเศรษฐกิจ และต้องรีบตั้ง รมว.คลัง เมื่อประเทศว่างเว้นมานานแล้ว เพื่ออะไรกัน ดังนั้น ถ้ามีรัฐบาลแบบนี้ จึงต้องมีปัญหาแบบนี้ แล้วในอนาคตเราต้องการรัฐบาลแบบไหนกัน “เราต้องติดตามสถานการณ์ให้ใกล้ชิด เพราะบางเรื่องไม่ได้คาดคิดว่าจะมีปัญหา และวันนี้ พรุ่งนี้ และวันต่อไป ไม่มีใครยืนยันว่า สถานการณ์การเมืองจะอยู่แบบเดิมอีก ถ้าประชาชนรู้สึกว่าต้องการรัฐบาลทำเพื่อประชาชนเป็นหัวใจหลัก เรื่องอื่นเล็กหมด เพราะต้องเอาประชาชนเป็นใหญ่” นอกจากนี้ ต้องศึกษาปัจจัยภายนอกของมหาอำนาจเป็นสำคัญ เพราะมหาอำนาจรอจังหวะที่จะจัดการกับประเทศไทย เหมือนใช้นายจอร์จ โซรอส นักธุรกิจอเมริกา โจมตีค่าเงินบาทจนพังพินาศย่อยยับ สถานการณ์ไทยขณะนี้เช่นเดียวกัน คืออยู่ท่ามกลางการบีบรัดของมหาอำนาจ แม้พยายามอยู่ลอยตัวก็ตาม "ผมเรียนยืนยันว่า ศึกหนนี้ไม่ใช่เฉพาะปัญหาของไทยแต่เพียงอย่างเดียว มีมหาอำนาจเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งผมเริ่มศึกษาและเห็นภาพชัดเจนมากขึ้น ดังนั้น เราจึงต้องคิดทุกอย่างด้วยความรอบคอบ เพื่อเอาชาติบ้านเมืองให้รอดจึงมีความจำเป็น" นายจตุพร กล่าวว่า สถานการณ์ขณะนี้ ไทยอยู่ท่ามกลางความยากลำบาก ทั้งปัจจัยภายใน-ภายนอก ถ้าไม่มีการปรับเปลี่ยนจะเกิดความเลวร้ายและหนักขึ้นไปทุกวัน แล้วพิสูจน์ว่าทั้งวิกฤตเศรษฐกิจและยังอยู่กับรัฐบาลแบบนี้อีก คงนำพาประเทศไปไม่รอด “ถ้ารัฐบาลดำรงอยู่แบบนี้ และประเทศก็ยังเป็นแบบนี้ ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ในสถานการณ์กลางตุลาจะหนักที่สุดเพราะไปผลักดันให้ประชาชนลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลง ดังนั้น รัฐบาลควรคิดว่า จะทำเพื่อประชาชนเป็นภาระสุดท้าย นั่นคือความงดงามที่สุด และคนจะจำภาพสุดท้ายว่า เขาทำเพื่อ ประชาชนแล้ว”
ขอขอบคุณข้อมูล และรูปภาพจากเฟซบุ๊ก PEACE NEWS