ศาลสืบพยาน “ตง” คดีฆ่า “เต้” นศ.อุเทนถวาย ลูกชายโดดตึกศาลอาญาเสร็จสิ้นแล้ว “ทนายอนันต์ชัย” ไม่หวั่นตงอ้างจำไม่ได้ คาดคำพิพากษาอุทธรณ์ออกใน 6 เดือน หวังคดีพลิกแน่นอน วันนี้ (25 ก.ย.) ที่ ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลได้นัดสืบพยานเพิ่มเติม ในคดีหมายเลขดำ อ.1089/2560 ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 4 และ นางเรวดี ทัฬหสุนทร ร่วมเป็นโจทก์ฟ้อง นายณัฐพงษ์ หรือโจ้ เงินคีรี เป็นจำเลย ในความผิดฐาน “ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาฯ” ที่ ห้องพิจารณาคดี 711 จากกรณีที่ นายณัฐพงษ์ จำเลย ใช้อาวุธมีดแทงนายธนิต หรือเต้ ทัฬหสุนทร อายุ23 ปี อดีตนักศึกษาอุเทนถวาย บุตรชายของนางเรวดีจนถึงแก่ความตาย ย่านดินแดง ช่วงสงกรานต์ปี 2559 ซึ่งต่อมาวันที่ 23 ก.ค. 2561 ศาลอาญาพิพากษายกฟ้องนายณัฐพงษ์ จำเลย จนนายศุภชัย ทัฬหสุนทร บิดาของนายธนิต เกิดความเครียดกระโดดจากชั้น 8 อาคารศาลอาญาเสียชีวิต โจทก์ยื่นอุทธรณ์ และขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งสืบพยานโจทก์เพิ่มเติม ซึ่งเป็นประจักษ์พยาน ต่อมาศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์ เป็นประจักษ์พยานปากสำคัญเพิ่มเติม คือ นายพีรวิชญ์ หรือตง ปุตตะจินารักษ์ ที่ก่อนหน้านี้ระบุว่ามีอาการป่วยทางจิต ต้องเข้ารับการรักษา จึงไม่มาเป็นพยานในช่วงสืบพยานก่อนมีคำพิพากษาศาลชั้นต้น วันนี้อัยการโจทก์, นางเรวดี ทัฬหสุนทร โจทก์ร่วม พร้อมนายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความโจทก์ร่วม, จำเลยและทนายความจำเลย เดินทางมาศาล ร่วมฟังและร่วมกระบวนการสืบพยาน โดยในช่วงเช้า อัยการโจทก์ได้นำแพทย์หญิงจากสถาบันเวชศาสตร์ รพ.สมเด็จเจ้าพระยา ผู้ตรวจรักษานายพีรวิชญ์ หรือตง เข้าเบิกความเกี่ยวกับการรักษาอาการป่วยของนายพีรวิชญ์ จนเมื่อเบิกความเสร็จสิ้น ศาลจึงให้แพทย์เข้าพูดคุยกับนายพีรวิชญ์ ที่ถูกเบิกตัวจากเรือนจำมาศาล เนื่องจากถูกจำคุกในคดีอื่น เพื่อประเมินอาการว่านายพีรวิชญ์จะสามารถเข้าเบิกความต่อศาลได้หรือไม่ โดยใช้เวลาประมาณ 30 นาที แล้วแพทย์จึงได้ยืนยันกับศาลว่านายพีรวิชญ์สามารถเบิกความได้ จากนั้นในช่วงบ่าย อัยการโจทก์ได้นำนายพีรวิชญ์ หรือตง ขึ้นเบิกความ โดยมีบิดาและมารดาของนายพีรวิชญ์ร่วมฟังการเบิกความด้วย เริ่มต้นอัยการโจทก์ซักถาม นายพีรวิชญ์เบิกความสรุปได้ว่า เหตุการณ์เกิดในช่วงวันสงกรานต์ ตนกับน้องชายไปเล่นน้ำสงกรานต์ เสร็จแล้วแยกย้ายกลับบ้าน มีตำรวจมาตาม กรณีนายธนิตโดนแทงตาย จึงไปให้การที่ สน.ดินแดง ตนจำรายละเอียดไม่ได้ มีอาการทางจิต เข้ารักษาตัวหลายครั้ง ออกจากโรงพยาบาลก็รับประทานยาเป็นประจำ พบนายณัฐพงษ์ หรือโจ้ หรือไม่ จำไม่ได้ โจทก์ให้พยานดูภาพวงจรปิด พยานบอกรูปไม่ชัดและไม่รู้จัก จำได้ว่าเคยให้การและชี้ตัวผู้ต้องหา ลายเซ็นตามคำให้การเป็นของตน ต่อมานายอนันต์ชัย ทนายความโจทก์ร่วม เข้าซักถาม นายพีรวิชญ์ตอบคำซักถาม โดยยืนยันการเดินทางไปให้การที่ สน.ดินแดง ในวันที่ 16 เม.ย. 2559 บิดามารดาเดินทางไปด้วย และนั่งอยู่ด้วยขณะพนักงานสอบสวนสอบถาม เมื่อพนักงานสอบสวนอ่านคำให้การให้ฟัง ไม่มีการทักท้วงว่าไม่ถูกต้อง ไม่มีการข่มขู่ ลงลายมือชื่อไว้จริง จำไม่ได้ว่าขณะให้การมีอาการกำเริบหรือไม่ ในการซักถามนี้ นายอนันต์ชัยได้หยิบเอกสารคำให้การพยานที่ระบุเห็นจำเลยหยิบมีดแทงนายธนิตมาให้นายพีรวิชญ์อ่านยืนยัน นายพีรวิชญ์จำไม่ได้ แต่ยืนยันลายเซ็นของตนจริง ส่วนคำให้การวันที่ 17 ส.ค. 2559 นายพีรวิชญ์เซ็นด้วยชื่อเก่าว่าทรงฤทธิ์ เป็นการยืนยันคำให้การเดิม ตามเอกสารชี้ตัวนายณัฐพงษ์เป็นผู้ต้องหา รับรองลายมือชื่อว่าเซ็นจริง ไม่ทราบว่าบิดามารดาให้การว่าตนป่วยกับพนักงานสอบสวนหรือไม่ ไม่ทราบเรื่องบิดาขอยืมเงินจากน้องสาวของนางเรวดี 2 ครั้ง ตนไปพบแพทย์ตลอดตามนัด บิดามารดาไปด้วยทุกครั้ง จำไม่ได้ว่าเล่าเรื่องคดีให้แพทย์ฟังหรือไม่ บิดาเป็นผู้ขอใบรับรองแพทย์ และปัจจุบันไม่ต้องรับประทานยารักษาอาการป่วยทางจิตมาปีกว่าแล้ว ไม่มีอาการใดๆ อีก สำหรับการตอบคำถามทนายความจำเลย นายพีรวิชญ์จำไม่ได้ในวันเกิดเหตุดื่มเหล้าเบียร์และมีอาการมึนเมาหรือไม่ การเซ็นชื่อว่าทรงฤทธิ์ เนื่องจากจำไม่ได้ว่าเปลี่ยนชื่อไปแล้ว ตนมักไม่ได้อ่านคำให้การโดยละเอียด จำไม่ได้ว่าตำรวจนำบุคคลมาให้ชี้ตัวผู้ต้องหากี่คน จำไม่ได้ให้การไว้อย่างไร ไม่กล้ายืนยันเป็นความจริงหรือไม่ และไม่รู้จักจำเลยในคดีนี้ หลังการเบิกความของพยานทั้งสองปากเสร็จสิ้นแล้ว คู่ความไม่มีพยานต้องนำสืบเพิ่มอีก เสร็จสิ้นการสืบพยานเพิ่มเติมตามคำสั่งศาลอุทธรณ์ ศาลจึงให้รวบรวมสำนวนส่งคืนศาลอุทธรณ์ พร้อมบันทึกภาพและเสียงการสืบพยานลงคอมพิวเตอร์ เพื่อส่งให้ศาลอุทธรณ์พิจารณา และกำหนดนัดวันฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ต่อไป ต่อมา นายอนันต์ชัย ทนายความโจทก์ร่วม ให้สัมภาษณ์ว่า คำเบิกความของนายตงเป็นอย่างที่คาดคิดไว้ ก่อนจะสืบพยานในคดีนี้ ตนเคยไปหานายตงที่ถูกคุมขังในคดีอื่นที่เรือนจำมาแล้ว 1 ครั้ง ซึ่งนายตงก็ให้การว่าจำเหตุการณ์อะไรไม่ได้ และระหว่างการสืบพยานนั้น พนักงานอัยการโจทก์ก็ได้เตือนนายตงว่า การให้การที่ไม่ตรงกับคำให้การกับพนักงานสอบสวน สน.ดินแดง เมื่อวันที่ 16 เม.ย. 2559 และวันที่ 17 ส.ค.2559 ทั้ง 2 ครั้ง อาจจะถูกดำเนินคดีข้อหาแจ้งความเท็จหรือเบิกความเท็จได้ นายอนันต์ชัย กล่าวต่อไปว่า เนื่องจากพยานอ้างว่าจำเหตุการณ์ในช่วงดังกล่าวไม่ได้ เพราะฉะนั้นอัยการโจทก์และตนซึ่งเป็นทนายความโจทก์ร่วม จึงแถลงขอศาลใช้คำถามแบบปรปักษ์ ถามกับพยานว่าใช่หรือไม่ใช่ เพื่อให้ยืนยันคำให้การกับพนักงานสอบสวนไว้ 2 ครั้ง ว่าถูกต้องชอบด้วยกฎหมาย เพราะมีพ่อแม่อยู่ด้วยตลอดเวลา ซึ่งก็ไม่ได้ท้วงติงหรือทักท้วงว่าการสอบสวนของพนักงานสอบสวนไม่ชอบด้วยกฎหมาย รวมทั้งการให้นายตงชี้รูปผู้ต้องหาไว้ด้วย “ถามว่าเรากังวลไหม ในการที่เขาจำไม่ได้ ไม่ได้กังวลอะไรเลย เพราะว่าไม่ได้เกินความคาดหมาย และอย่างหนึ่งวันนี้มีแพทย์หญิงมาให้การเป็นพยานว่า นายตงสามารถเบิกความเป็นพยานต่อศาลได้ และที่สำคัญก็คือว่า ก่อนที่จะปิด ผมได้ถามเขาว่าตอนนี้กินยาอยู่หรือเปล่า เขาบอกว่าไม่ได้กินยา อาการดีขึ้นเป็นปีกว่าแล้ว แสดงว่าตอนนี้อาการนายตงเป็นปกติดี ฉะนั้นเหตุการณ์ที่นายธนิต ทัฬหสุนทร ถูกแทงตายนี้ ผมมีความเชื่อว่าจะมีการพลิกคดีนี้อย่างแน่นอน ตอนนี้ก็แล้วแต่ดุลยพินิจของศาลอุทธรณ์” นายอนันต์ชัย กล่าวและว่า จากนี้ก็รอคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ตอนนี้ศาลชั้นต้นจะเรียบเรียงถ้อยคำสำนวนขึ้นสู่ศาลอุทธรณ์ เพื่อให้ศาลอุทธรณ์พิจารณา น่าจะใช้เวลาประมาณ 6 เดือน เมื่อถามว่านายตง พยานเบิกความเป็นประโยชน์แก่ฝ่ายโจทก์หรือไม่ นายอนันต์ชัย กล่าวว่า ตนถือว่าเป็นประโยชน์ แม้นายตง จะให้การว่าจำอะไรไม่ได้ เพราะเหตุการณ์ผ่านมานาน แต่ขณะที่เขาให้การกับพนักงานสอบสวนไว้นั้นพ่อแม่อยู่ด้วยแล้ว พนักงานสอบสวนไม่ได้ข่มขู่บังคับ เป็นพยานหลักฐานสำคัญ ส่วนศาลจะพิพากษาอย่างไรเราก็ต้องเคารพ ถ้าเกิดปรากฏการณ์ว่าศาลเชื่อคำให้การของนายตง จะเป็นประวัติศาสตร์ของวงการยุติธรรมไทย ที่ศาลอุทธรณ์ส่งสำนวนมาให้ศาลชั้นต้นสืบพยานเพิ่มเติม ด้านนางเรวดี มารดาของนายธนิต โจทก์ร่วม กล่าวว่า ตนรู้สึกสบายใจขึ้นแล้ว เห็นว่าศาลมีความเมตตาและเป็นธรรม กราบขอบคุณทนายอนันต์ชัยที่ช่วยเหลือครอบครัวตนเอง ซึ่งหลังจากเหตุการณ์ที่สามีและลูกชายเสียชีวิต ตนจึงมีความหวังฝากไว้กับศาลยุติธรรมมาก