ในฐานะ “พรรคแกนนำฝ่ายค้าน” แต่กลับไม่ใช่ “หัวหอก” ที่นำทัพ ถือธงเพื่อ “เคลื่อนขบวน” ประจันหน้ากับ “รัฐบาล” ภายใต้การนำของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและเจ้าของรหัส “สนามไชย1” หลายต่อหลายครั้งที่พรรคเพื่อไทย แม้จะเป็นพรรคใหญ่อันดับหนึ่งในสภาผู้แทนราษฎร แต่กลับต้องเป็นฝ่ายถูกบดบังด้วยรัศมี จาก “พรรคอนาคตใหม่” พรรคการเมืองน้องใหม่ที่เพิ่งแจ้งเกิดในสนามการเมือง เมื่อการเลือกตั้ง 24 มี.ค.2562 จนทำให้พรรคเพื่อไทยถูกเย้ยเยาะว่า เป็น “ผู้ใหญ่” ที่ยอมเดินตามหลัง “เด็ก” จนเมื่อพรรคอนาคตใหม่ถูกคำสั่งให้ยุบพรรค แล้วมาอวตารใหม่ในร่าง “พรรคก้าวไกล” ก็ยังเป็นพรรคฝ่ายค้านที่ชิงศูนย์การนำไปจากพรรคเพื่อไทย อย่างเห็นได้ชัด แม้แต่การรบราในสนามการเมืองนอกสภาฯ เมื่อวันที่ 19 ก.ย. ที่ผ่านมา แม้กลุ่มเยาวชน นิสิต นักศึกษาที่เป็น “ด่านหน้า” มานำการชุมนุมเคลื่อนไหวต่อต้านเผด็จการ ขับไล่รัฐบาลทหาร ก็ยังยึดโยง เชื่อมโยงกับแกนนำของ คณะก้าวหน้าและพรรคก้าวไกล ขณะที่พรรคเพื่อไทย เองทำได้แค่เพียงการไปตั้งเต็นท์ เพื่อร่วมสังเกตการณ์ในการชุมนุมเมื่อวันเสาร์ที่ 19 ก.ย. เท่านั้น แต่พอเช้าวันอาทิตย์ที่ 20 ก.ย.เต้นท์บัญชาการของพรรคเพื่อไทย ก็ไม่มีส.ส.ของพรรคไปร่วมกิจกรรม เรียกว่าหายไปอย่างไร้ร่องรอย จนมีรายงานข่าวระบุว่ามี “คำสั่ง” จาก “บิ๊กเนม” ตัวจริง เสียงจริงของพรรคเพื่อไทย สั่งให้สมาชิกพรรค “ถอยออกมา” ไม่ต้องไปร่วมกิจกรรมในการชุมนุมที่มีเป้าหมายสูงกว่าการขับไล่รัฐบาล หากแต่ต้องการส่งสัญญาณไปถึง “สถาบัน” ซึ่งจะทำให้พรรคเพื่อไทย ถูกดึงเข้าไปอยู่ในความสุ่มเสี่ยงโดยใช่เหตุ ! บทบาทของพรรคเพื่อไทย ทั้งในสภาฯ และบนสังเวียนท้องถนน ในวันนี้ดูจะแตกต่างไปจาก “ฟอร์มเดิม” อย่างเห็นได้ชัด จะด้วยเพราะต้องการเซฟตัวเอง กันพรรคออกจากความสุ่มเสี่ยงในข้อหา โจมตีสถาบัน หรือเป็นเพราะ ในฐานะนักการเมืองที่ “เจนสังเวียน” ที่ประเมินได้ว่าการบุกลุยไปข้างหน้าด้วยความดุดันของทั้งมวลชนปลดแอกกับ พรรคก้าวไกล มีแต่จะยิ่งติดกับดักของตัวเอง หรือจะเป็นเพราะลึกๆแล้ว “เจ้าของพรรคตัวจริง” ไม่ยอมเทลงมาหนุนม็อบปลดแอก ชนิดเต็มพิกัด เนื่องจากวันนี้ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ และผู้ที่มีบทบาทของพรรค ไม่จำเป็นต้องเล่นเกมแรง เพราะ “บุตรชาย” คือ “พานทองแท้ ชินวัตร” รอดพ้นจากบ่วงคดีกรุงไทย ไปเรียบร้อยแล้ว การบุกตะลุย อย่างดุเดือด เข้มข้น เหมือนที่เคยทำในวันวาน จึงไม่ใช่เรื่องที่จำเป็นอีกต่อไป ! อย่างไรก็ดี อีกเงื่อนไขหนึ่งที่ทำให้พรรคเพื่อไทยเอง ตกอยู่ในสถานการณ์ที่อึมครึม ไม่สามารถ ยืนขึ้นมาถือธงนำในฐานะพรรคใหญ่ พรรคแกนนำฝ่ายค้านได้อย่างแจ่มแจ้ง ไม่ว่าจะเป็นเกมการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือการลงไปนำม็อบต้านรัฐบาล มาจากปัญหา “ภายใน” ของพรรคที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งระหว่างกลุ่มก๊วนในพรรคด้วยกันเอง ชนิดที่เรียกว่า “แก้ไม่ตก” มีรายงานข่าวระบุว่า “ส.ส.อีสาน” ในพรรคเพื่อไทยแสดงความไม่พอใจต่อความเป็นอยู่ในพรรค ทั้งปัญหา “ท่อน้ำเลี้ยง” ที่ตีบตันหา “เจ้าภาพ” ที่จะมาดูแลแทบไม่ได้แล้ว ยังเกิดความไม่พอใจการทำงานในสภาฯ ของแกนนำพรรคด้วยกันเอง ที่ไม่รู้ว่าจะต้องเดินตามหลัง “พรรคก้าวไกล” ปล่อยให้พรรคน้องใหม่ เล่น “บทนำ” ไปอีกนานแค่ไหน เพราะหากเป็นอย่างนี้ต่อไป โอกาสที่พรรคเพื่อไทย จะเสียคะแนนในการเลือกตั้งรอบหน้าจะยิ่งมีสูง เพราะอย่าลืมว่า ในการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.หลายเขตที่ผ่านมา พรรคก้าวไกล เองก็ยังไม่เกรงใจ ส่งผู้สมัครของพรรคไปทับซ้อน แย่งคะแนนกันเองกับผู้สมัครของพรรคเพื่อไทยด้วยซ้ำ โดยยืนยันว่า ทุกพรรคมีสิทธิ์ เท่าเทียมกันหมด !! อาการแกว่ง ในพรรคเพื่อไทย ใช่ว่าจะไม่เคยเกิดขึ้น โดยเฉพาะปฏิกริยาและความเคลื่อนไหวจาก ส.ส.กลุ่มอีสานตอนใต้ ซึ่งปัญหาข้อนี้ แกนนำทุกคนต่างก็รู้ดี แม้กระทั่ง อดีตนายกฯทักษิณ แต่ในเมื่อท่อน้ำเลี้ยงตีบตัน ขาดคนดูแล อีกทั้งโอกาสที่จะเป็น “ฝ่ายค้าน” ไปยาวๆยิ่งมีสูง ในการเลือกตั้งรอบหน้า ด้วยเหตุนี้ การมองหาทางหนีทีไล่ สำหรับส.ส.อีสานใต้ของพรรคเพื่อไทย เพื่อต่อวีซ่าอนาคตทางการเมืองของตัวเองจึงเป็นเรื่องที่มีความจำเป็นไม่น้อย และเป้าหมายที่ไม่ควรมองข้าม คือการเปิดดีลทางการเมืองกับ “พรรคร่วมรัฐบาล” ที่จะมีความเป็นไปได้มากที่สุด แน่นอนว่า พรรคภูมิใจไทย ที่วันนี้มี “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรมว.สาธารณสุข นั่งเป็นหัวหน้าพรรค คือ “ที่หมายใหม่” ซึ่งไม่ควรมองข้าม ยิ่งลึกไปกว่านั้น พรรคภูมิใจไทยยังมี “แผนการเล่น” ที่ล้ำลึก เพราะอย่าลืมว่า นอกจาก “เสี่ยหนู”แล้ว ยังมี “เนวิน ชิดชอบ” ที่ยืนตระหง่านอยู่ข้างหลัง และที่สำคัญเหนืออื่นใด เนวิน ไม่เคยปล่อยมือ จากพรรคภูมิใจไทย และไม่เคยลืมกลิ่นการเมือง อีกด้วยต่างหาก !