นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน กล่าวในงานสัมมนา "BATTLE STRATEGY แผนฝ่าวิกฤต พิชิตสงคราม EPISODE II : DON'T WASTE A GOOD CRISIS พลิกชีวิตด้วยวิกฤตการณ์"ในหัวข้อ "นโยบายรัฐ...ชี้ชะตาชีวิตหลังโควิด"ว่า เศรษฐกิจไทยมีโอกาสกลับเข้าสู่ภาวะปกติในอีก 2 ปีข้างหน้าก่อนจะฟื้นตัวในปี 66 บนสมมติฐานการมีวัคซีนต้านโควิด-19 และไทยสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ดี ซึ่งจะเร็วกว่าเมื่อเทียบกับช่วงวิกฤติต้มยำกุ้งที่ใช้เวลาถึง 5 ปี สำหรับการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และการฟื้นฟูเศรษฐกิจของไทยในช่วงที่ผ่านมานับว่าทำได้ดีระดับหนึ่ง หลังจากตัดสินใจล็อกดาวน์ประเทศในช่วงเดือน เม.ย.และมีมาตรการเยียวยาทันที ซึ่งที่ผ่านมามีผู้ได้รับการเยียวยา 33 ล้านคน เป็นวงเงิน 9 แสนล้านบาท แบ่งเป็นเงินเยียวยาโดยตรงราว 5 แสนล้านบาท และเงินเสริมสภาพคล่อง ซึ่งรวมซอฟท์โลนประมาณ 2.5 แสนล้านบาท ตลอดจนมาตรการลดค่าใช้จ่ายต่างๆ 5 หมื่นล้าบาท ทั้งค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า เป็นต้น ส่งผลให้วันนี้สถานการณ์เริ่มคลี่คลาย และมีการทยอยเปิดเศรษฐกิจ ทำให้ดัชนีชี้วัดต่างๆของประเทศเริ่มดีขึ้นตามลำดับ ทั้งในภาคการผลิต ภาคการบริโภค และท่องเที่ยว ขณะเดียวกันธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)มีมาตรการพักชำระหนี้ออกมาช่วยเหลือผู้ประกอบการ ซึ่งมาตรการดังกล่าวจะหมดอายุในเดือน ต.ค.นี้ แม้จะทำให้ผู้ประกอบการมีความกังวลแต่ถือเป็นเรื่องธรรมดา เบื้องต้นเชื่อว่าผู้ประกอบการหลายรายเริ่มกลับเข้าสู่สภาพเดิม ดังนั้นสิ่งที่หลายฝ่ายกังวลว่าอาจจะเห็นการผิดนัดชำระหนี้หลังจากสิ้นสุดมาตรการนั้นคงจะไม่ได้เกิดขึ้นมากนัก ทั้งนี้รัฐบาลประเมินว่าภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้อาจจะมีคนว่างงานกว่า 1 ล้านคน จึงได้เตรียมจัดงาน JOB EXPO THAILAND 2020 ที่รวบรวมตำแหน่งงานกว่า 1,000,000 อัตราในช่วงวันที่ 26-28 ก.ย.นี้ เพื่อช่วยประคับประคองเศรษฐกิจ และอาจจะมีเพิ่มเติมในอนาคต หลังจากนั้นในช่วงเดือนต.ค.-ธ.ค.63 รัฐบาลเตรียมมาตรการเสริมเพื่ออัดฉีดเงินเข้าระบบเพิ่มเติม หลังจากเห็นว่าบางอุตสาหกรรมยังคงได้รับผลกระทบจากการที่ไทยยังไม่สามารถเปิดประเทศได้อย่างสมบูรณ์ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว บริการ และส่งออก โดยจะมีมาตรการกระตุ้นในหลายระดับ คาดว่าจะมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบราว 1 แสนล้านบาท ในส่วนนี้เป็นเม็ดเงินจากภาครัฐ 5 หมื่นล้านบาท และภาคประชาชนอีก 5 หมื่นล้านบาท โดยวงเงิน 5 หมื่นล้านบาทของภาครัฐที่จะใช้ในครั้งนี้อยู่ในกรอบวงเงินกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐรวม 4 แสนล้านบาท แบ่งเป็นการช่วยเหลือจ้างงานเด็กจบใหม่กว่า 2 หมื่นล้านบาท,โครงการเตรียมแรงงานว่างงานที่กลับเข้าสู่ชนบทราว 1 แสนล้านบาท และเมื่อรวมที่จะใช้กระตุ้นในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปีนี้อีก 5 หมื่นล้านบาทก็จะยังคงเหลือวงเงินอีก 2.3 แสนล้านบาทที่จะถูกนำไปใช้ในปี 64 สำหรับการกระตุ้นการใช้จ่ายมีหลายระดับ มีโครงการที่มีตั้งแต่บัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่จะเติมให้ และมีโครงการคนละครึ่ง และกำลังคิดในระดับบนขึ้นไปอีกจะมีการส่งเสริมเรื่องใดบ้าง อาจจะเป็นภาษี หรือคนละเสี้ยว รวมๆน่าจะประมาณอีก 1 แสนล้านบาทในช่วงเดือนต.ค.-ธ.ค.63 ที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วนนี้ไม่ได้ให้เปล่า แต่มาจากคนละครึ่งบ้าง คนละเสี้ยวบ้าง ขณะที่ในปี 64 เชื่อว่าเศรษฐกิจของประเทศจะค่อยๆดีขึ้นจากการบริโภคในประเทศที่ดีขึ้น และอีกส่วนจากการที่ภาครัฐช่วยออกมาตรการพิเศษเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและการลงทุนจากต่างชาติ ด้วยการออกวีซ่าประเภทพิเศษ เพื่อให้ต่างชาติที่ประสงค์จะเดินทางมาพำนักระยะยาวภายในประเทศไทย คาดว่าจะดำเนินการได้ภายในเดือน ต.ค.นี้ โดยการเข้าประเทศจะอยู่ภายใต้มาตรฐานเดียวกับคนไทยจากต่างประเทศที่เดินทางกลับเข้าไทย โดยเชื่อว่านักท่องเที่ยวประเภทนี้เป็นนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพที่จะทำให้ไทยสามารถดึงเม็ดเงินจากภาคการท่องเที่ยวกลับเข้ามาได้แม้จะมีจำนวนนักท่องเที่ยวไม่มากเหมือนเดิมที่เคยอยู่ระดับ 30-40 ล้านคน นอกจากนี้รัฐบาลยังเตรียมดึงดูดเรื่องการลงทุนจากต่างชาติหลังเห็นโอกาสมากขึ้นเพราะไทยมีจุดเด่นเรื่องของอุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร รวมถึงมีการส่งเสริมพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ขณะที่ปัจจุบันผู้ประกอบการรายใหญ่ระดับโลกเริ่มเปลี่ยนแนวคิดไม่ได้ปักหลักฐานผลิตเพียงที่เดียวมาเป็นการกระจายฐานผลิตในหลายประเทศเพื่อลดความเสี่ยงเรื่องปัญหาซัพพลายเชน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการควบคุมการระบาดของเราด้วย การฟื้นฟูเศรษฐกิจและการป้องกันโรคระบาดไปด้วยกัน ถ้าเราควบคุมได้ดีและค่อยๆเปิดประเทศก็มีโอกาสเป็น V-Shape ได้ คล้ายๆสัญลักษณ์ไนกี้ ถ้าเราควบคุมการระบาดได้ดี หน้าที่นี้ไม่ใช่รัฐบาลฝ่ายเดียว แต่เป็นเรื่องที่ทุกภาคส่วนและประชาชนต้องร่วมมือกัน