เมื่อวันที่ 23 ก.ย. 2563 นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เฟชบุ๊คไลฟ์ peace talk โดยกล่าวถึงการแก้ รธน.ว่า หากฝ่ายใดไม่รักษาสัญญาแล้ว จะกลายเป็นฝ่ายทรยศต่อประชาชน และคงต้องจบในทางการเมืองอย่างยากจะหลีกเลี่ยงได้ ทั้งนี้ นายจตุพร กล่าวว่า การแก้ รธน. โดยเฉพาะแก้ ม.256 เป็นประเด็นหลักทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้าน แต่สุดท้ายแล้ว คาดจะผ่านเฉพาะร่างของรัฐบาล ส่วนพรรคร่วมรัฐบาลให้สัญญาเป็นสัจจะกับประชาชนไว้ในการแก้ รธน. ซึ่งจากนี้จะเสียคำพูดที่ให้ไว้กับประชาชนหรือไม่ จึงต้องติดตามการแก้ รธน.ครั้งนี้เป็นสิ่งยากลำบากอย่างยิ่ง เพราะในวาระหนึ่งขั้นรับหลักการ และการลงมติในวาระสาม แล้ว ต้องมีเสียง สว. 84 คนด้วย แม้ร่าง รธน.ผ่านด้วยเสียงข้างมากก็ตาม แต่ไม่มีเสียง สว.ถึง 84 เสียงแล้ว ร่าง รธน.นั้นเป็นโมฆะทันที อย่างไรก็ตาม ตนเชื่อว่า ในวาระที่หนึ่ง ร่าง รธน.แก้ ม.256 นั้นจะผ่านเฉพาะของรัฐบาล ที่ให้มี สสร. 150 คน จากสรรหา 50 คน เลือกตั้ง 100 คน แต่ขณะนี้ประชาชนไม่ไว้วางใจการสรรหา สว.อีกแล้ว ดังนั้นการแปรญัตติวาระสอง จึงต้องต่อสู้ให้ สสร.มาจากการเลือกตั้งของประชาชนทั้งหมด สำหรับร่าง รธน.ของประชาชน พร้อมรายชื่อสนับสนุนกว่า 1 แสนนั้น รัฐสภาควรตรวจสอบตามขั้นตอนเพียง 5 หมื่นชื่อเมื่อเข้าเงื่อนไขก็บรรจุระเบียบวาระได้ แล้วตรวจสอบรายชื่อที่เหลือภายหลัง เพื่อรักษาความรู้สึกของประชาชนไว้ ซึ่งน่าเสียดายมากที่สุดที่บรรจุระเบียบวาระไม่ทัน อีกอย่าง เมื่อกระบวนการแก้ รธน.เข้าสู่สภาเป็นวันแรก ดูเหมือนกระแสแก้ รธน.เริ่มแผ่วลง อย่างไรก็ตาม การแก้ รธน.ยังเป็นเรื่องหลัก และตนหวั่นว่า การแก้ รธน.จะแล้วเสร็จหรือไม่ รวมถึงจะมีการการทรยศหักหลัง หรือเกิดการห่วงอำนาจหรือไม่ ซึ่งจะเป็นสิ่งสำคัญทำให้การแก้ รธน.ต้องพังพินาศลง "ความอดทนของประชาชนจะลดลงตามลำดับ ทั้งด้านเศรษฐกิจ ยิ่งการท่องเที่ยวจากปี 2562 มี 32 ล้านคน แต่ปี 2563 ลดลงเหลือแค่ 7 แสนคน แล้วปี 2564 จะเหลือแค่ไหนเมื่อการระบาดของโควิดยังไม่สิ้นสุด ดังนั้น สถานการณ์เช่นนี้ จึงไม่มีหลักประกันอะไรเลยว่า เหตุการณ์ทางการเมืองที่ไม่คาดฝันจะไม่เกิดขึ้น อีกทั้งเมื่อแก้ รธน.เป็นความหวังของประชาชน ของเยาวชนจึงไม่ควรจะมีใครมาทำลายความหวังนี้” นายจตุพร กล่าว ซึ่ง นายจตุพร กล่าวต่อว่า การแก้ รธน.นั้น ความกดดันจะมีมากขึ้นตามลำดับ เพราะเป็นสิ่งที่แบกความหวังของประชาชนไว้ ที่สำคัญหากทรยศกับประชาชนอีกครั้งแล้ว วันนั้นอะไรก็เอาไม่อยู่ แต่ถ้าทำทุกขั้นตอนให้มีเสรีภาพ เท่าเทียม การรณรงค์อย่าอ้างถึงประชามติที่มัดมือชก เพราะเป็นสิ่งน่าอับอาย แต่ควรให้ประชาชนตัดสิน “เอาเป็นว่า คนที่จะจบในการแก้ไข รธน.คือคนไม่รักษาสัจวาจา รัฐบาลแถลงเป็นนโยบายต่อสภาว่าจะแก้ รธน. ฝ่ายค้านแสดงเจตนารมณ์ชัด ใครทรยศกับประชาชนคนนั้นจะจบ ส่วนการเคลื่อนไหวของเยาวชนคนหนุ่มสาวเรียกร้องการปฏิรูป 10 ข้อนั้น ตนขอย้ำว่า ต้องรีบกลับมามายืนอยู่ที่ 3 ข้อเรียกร้องโดยเร็ว เพราะเส้นทางเดินที่เห็นว่ากว้างนั้นจะแคบลงเรื่อยๆ และปฎิบัติได้ยาก พร้อมทั้งทำได้ไม่ง่ายอย่างที่คิดเลย"นายจตุพร กล่าว ส่วน กรณีนายธนาพล อิ๋วสกุล บรรณาธิการบริหาร นิตยสารฟ้าเดียวกัน ใส่ความตนว่า สนับสนุน 3 ข้อเพื่อแลกกับไม่ติดคุกในคดีชุมนุมหน้าบ้านสี่เสาฯ ซึ่งไม่รู้ทำไปเพื่ออะไร ตนจึงให้โอกาส 7 วันทำการแก้ไขการใส่ร้ายกันเสียใหม่ให้ถูกต้อง หรือจะแสดงความรับผิดชอบอย่างไร ถ้าไม่แสดงหรือแก้ไขอะไรเลย จำเป็นต้องฟ้องศาล และจะได้พิสูจน์ข้อเท็จจริงกันในศาล
ขอขอบคุณเพจเฟซบุ๊ก PEACE NEWS