นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัยธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) เปิดเผยว่า CIBMT ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทย (GDP) ปีนี้จากเดิมคาดไว้ที่ -8.9% เป็น -7.5% และให้มุมมองเศรษฐกิจปีหน้าคาดว่าจะขยายตัว 2.8% มองภาพรวมครึ่งหลังของปี 63 มีแนวโน้มดีกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้า โดยเฉพาะเมื่อ GDP ไตรมาส 2/63 ไม่ได้หดตัวแรงอย่างที่เราประเมินไว้ ขณะเดียวกันเศรษฐกิจโลกมีท่าทีฟื้นตัวได้ดีจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทางการคลังของประเทศสำคัญ รวมทั้งมาตรการทางการเงินที่ผ่อนคลาย ซึ่งน่าจะช่วยให้การส่งออกของไทยฟื้นตัวได้เร็ว กำลังการผลิตกำลังปรับเพิ่มขึ้นจากระดับต่ำในช่วงล็อกดาวน์ การจ้างงานและชั่วโมงการทำงานกำลังพัฒนาในทางที่ดีขึ้นในธุรกิจภาคส่งออก เช่น กลุ่มอาหารและอิเล็กทรอนิกส์ แต่การฟื้นตัวที่ยังไม่กระจายมีผลให้ความต้องการในประเทศยังอ่อนแอ ประกอบกับการใช้จ่ายภาครัฐบาลที่มีแนวโน้มล่าช้าหรือชะลอการลงทุนในโครงการใหญ่จะมีผลต่อความเชื่อมั่นนักลงทุนหรือแม้แต่การย้ายฐานการลงทุนมาไทย อีกทั้งการท่องเที่ยวที่ยังไม่ฟื้นตัว จะมีผลให้เศรษฐกิจไทยเสี่ยงโตช้าในปีหน้า นอกจากนี้มองว่าทางคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.5% ต่อปีตลอดปีหน้า ส่วนค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าเทียบดอลลาร์สหรัฐฯตามความผันผวนของนโยบายการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนโดยเฉพาะช่วงใกล้การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คาดการณ์ระดับเงินบาทปลายปีนี้ที่ 31.50 บาท/ดอลลาร์ ก่อนปรับแข็งค่ามาปิดที่ระดับ 30.80 บาท/ดอลลาร์ปลายปีหน้าตามการเกินดุลการค้าของไทยที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยมองว่าเศรษฐกิจไทยไตรมาส 4/63 ต้องระวังโรคแทรกซ้อน หลังจากพ้น ICU แล้ว แต่ยังต้องพักฟื้นยาว โดยเศรษฐกิจไทยน่าจะผ่านจุดต่ำสุดหรือขั้นเลวร้ายที่สุดไปแล้วในช่วงการปิดเมืองในไตรมาสสอง ซึ่งช่วงเวลานั้นเหมือนคนไข้อาการหนักในห้อง ICUและไม่ใช่ประเทศไทยเพียงประเทศเดียว ทั่วโลกก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ส่งผลให้การส่งออกหดตัวหนักตามวิกฤติตลาดโลก พร้อมกับการบริโภคและการลงทุนที่หดตัวแรง “เมื่อมีมาตรการคลายการล็อกดาวน์ ดัชนีเศรษฐกิจรายเดือนส่งสัญญาณลดการหดตัวลงจากปีก่อน และฟื้นตัวจากเดือนก่อนหน้า โดยเฉพาะการส่งออกและการบริโภคภาคเอกชน แต่การลงทุนยังคงอ่อนแอมาก อีกทั้งยังไม่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาแม้นักท่องเที่ยวไทยจะมีบ้างแต่ด้วยกำลังซื้อที่อ่อนแอก็ยากจะชดเชยรายได้จากการท่องเที่ยวของต่างชาติได้ ทำให้เศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้ยังเปราะบาง เหมือนแม้พ้นขีดอันตรายแต่ยังต้องพักฟื้นยาว” ทั้งนี้โชคดีที่เรายังมีมาตรการทางการคลังและการเงินในการประคองเศรษฐกิจอยู่ด้วยงบที่อัดฉีดชดเชยรายได้ที่หายในช่วงล็อกดาวน์และอาจมีมาตรการส่งเสริมการจ้างงานเพิ่มเติม อีกทั้งอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำยังช่วงประคองภาคเอกชนได้บ้าง แต่ต้องระวังความเสี่ยงที่อาจส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจไว้ด้วยระวังอาการแทรกซ้อนช่วงพักฟื้น แม้คนไข้ได้ผ่านช่วงวิกฤติและกำลังพักฟื้นอยู่ ก็ยังต้องระวังโรคแทรกซ้อนที่อาจทำให้เศรษฐกิจกลับไปหดตัวเทียบไตรมาสต่อไตรมาสได้ เหมือนตัว W-Shape โดยอาการแทรกซ้อนมีหลากหลายและยากจะคาดเดาจนกว่าจะมีวัคซีนป้องกันโควิด-19 เช่น การระบาดรอบสองและนำไปสู่การเว้นระยะห่างที่เคร่งครัดมากขึ้น หรือปัจจัยความไม่แน่นอนทางการเมืองที่กระทบความเชื่อมั่นนักลงทุนและผู้บริโภคในประเทศ หรือปัจจัยต่างประเทศที่ส่งผลให้ตลาดการเงินโลกผันผวน เช่น สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่อาจลามไปสู่สงครามเทคโนโลยี หรือสงครามเย็นในรูปแบบใหม่หรือการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯในช่วงต้นเดือนพ.ย.63ที่อาจกระทบทุนเคลื่อนย้ายและค่าเงินบาท สำหรับปัจจัยที่กล่าวมาล้วนเป็นปัจจัยระยะสั้นที่กระทบการฟื้นตัวในปีนี้ หากบริหารจัดการได้ดีการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งปีหลังน่าจะดีกว่าที่คาดไว้ในช่วงก่อนหน้า แต่ที่น่ากังวลในขณะนี้คือปัจจัยที่จะกระทบการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในปีหน้าที่อาจเติบโตช้ารั้งท้ายในภูมิภาคด้วยสองประการคือ 1.นักท่องเที่ยวต่างชาติยังมาไม่ได้เต็มที่ คาดว่าปีหน้าจะมีนักท่องเที่ยวมาได้ราว 6.3 ล้านคน ซึ่งน่าจะมาจากนักท่องเที่ยวจีนและใกล้เคียง โดยจะเห็นภาพชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลังหากมีมาตรการควบคุมดูแลการแพร่ระบาดได้ดีขึ้น อย่างไรก็ดีกำลังซื้อของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ยังต่ำถ้าเทียบกับโซนยุโรป ซึ่งยังยากที่จะพร้อมเปิดให้เดินทางได้ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวทั้งหลายจะยังคงประสบปัญหารายได้น้อยไปอีกนาน หลายแห่งอาจต้องเลิกจ้างพนักงานหรือลดชั่วโมงการทำงานมากกว่าที่เป็นอยู่หรือต้องปิดตัวลงหรือควบรวมเพื่อการอยู่รอด ซึ่งสัดส่วนรายได้จากการท่องเที่ยวมีมากกว่า 10% และอาจกระทบอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง นอกจากธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารอีกเช่น การขนส่ง การค้าปลีก และอุตสาหกรรมอาหาร 2.ธุรกิจไทยกำลังเผชิญปัญหาขาดเงินทุนหมุนเวียน แม้สภาพคล่องในระบบจะมีล้น แต่โดยมากอยู่ในธุรกิจขนาดใหญ่หรือคนมีรายได้หรือทรัพย์สินมาก ขณะที่กลุ่มเอสเอ็มอีและคนรายได้น้อยโดยเฉพาะกลุ่มคนที่ไม่ได้มีรายได้ประจำกำลังจะมีปัญหาขาดเงินทุนหมุนเวียน โดยเฉพาะเมื่อสิ้นสุดมาตรการพักชำระหนี้ชั่วคราว มองต่อไปข้างหน้า ไม่ว่าจะมีการต่ออายุมาตรการนี้หรือไม่ สินเชื่อในระบบสถาบันการเงินมีแนวโน้มโตช้า เพราะความเสี่ยงเศรษฐกิจในระดับเอสเอ็มอีและระดับล่างมีสูง และหากไม่มีลูกค้ากลับเข้ามาชำระหนี้มากพอ กระแสเงินสดในระบบธนาคารพาณิชย์ที่พร้อมปล่อยให้คนที่ต้องการขยายธุรกิจรายใหม่อาจน้อยลง ซึ่งจะกระทบการลงทุนภาคเอกชนที่อาจยังคงหดตัวต่อเนื่องในปีหน้าได้ มาตรการดอกเบี้ยอาจไม่เพียงพอ ต่อให้ลดดอกเบี้ยลงอีก สภาพคล่องยังล้นแต่อาจเข้าไม่ถึงคนที่ต้องการสินเชื่อมาประคองธุรกิจให้ผ่านช่วงวิกฤตินี้ได้