แม้ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีทั้งผู้ป่วยที่ติดเชื้อ และผู้ป่วยที่เสียชีวิต อันดับหนึ่งของโลก ในสถานการณ์วิกฤติการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด – 19 ณ เวลานี้ แต่ทว่า “สหรัฐอเมริกา” เจ้าของอันดับโลกของเหยื่อไวรัสโควิดฯ ข้างต้น ก็หาได้ร่ำร้องถึง “วัคซีน” ที่ใช้สำหรับป้องกันเชื้อโรค ซึ่งหลายสถาบันจากชาติต่างๆ กำลังเร่งพัฒนาแข่งกันจนฝุ่นตลบ ณ ชั่วโมงนี้สักเท่าไหร่ ผิดแผกแตกต่างจากประชาชนในหลายๆ ประเทศทั่วโลกที่ถวิลหาวัคซีนดังกล่าว ชนิดแทบจะร่ำๆ กันทุกลมหายใจเข้า-ออก เพื่อป้องกันตนเองมิให้ติดเชื้อไวรัสร้ายเขย่าโลกชนิดนี้ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะสำรวจความคิดเห็น หรือโพลล์ ของประชาชนชาวอเมริกัน ที่มีวัคซีนป้องกันไวรัสโควิดฯ ที่ว ครั้งไหน ล้วนได้ตัวเลขของการแสดงท่าทีที่ไม่เชื่อมั่นต่อวัคซีนที่สถาบันต่างๆ วิจัยและพัฒนาขึ้นที่กำลังดำเนินการกันอยู่ รวมถึงการแสดงทีท่าว่าไม่ขานรับกันสักเท่าใด ในถ้อยแถลงของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ที่เปิดเผยทั้งผ่านทางทวิตเตอร์ และให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ต่างๆ เช่น ฟอกซ์ และเอบีซีนิวส์ ถึงกรณีที่สหรัฐฯ จะได้ใช้วัคซีนป้องกันไวรัสโควิดฯ ในไม่อีกเพลา คือ ราว 3 – 4 สัปดาห์ที่จะถึงนี้ แถมมิหนำซ้ำ ทางการสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์ ได้สนับสนุนงบประมาณนับหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อวิจัย และพัฒนา ตลอดจนการแจกจ่ายวัคซีนที่วิจัยและพัฒนาขึ้นมาได้แก่ประชาชนแบบ “แจกฟรี” จำนวนหลายร้อยล้านโดสก็ตาม แต่ปรากฏว่า ชาวอเมริกันก็ยังมีที่ท่าหันหลังให้กับวัคซีนดังกล่าวจำนวนไม่น้อย โดยในผลของการสำรวจโพลล์ของหนังสือพิมพ์ “ยูเอสเอทูเดย์” ที่จับมือร่วมกับ “ซัฟโฟล์ก” ซึ่งได้เผยแพร่เมื่อช่วงก่อนหน้า ก็ระบุว่า อเมริกันชนกลุ่มตัวอย่างที่ตอบแบบสอบถามถึง 2 ใน 3 ระบุว่า ยังไม่อยากได้รับการฉีดวัคซีนในเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นวัคซีนจากสถาบันสัญชาติไหนก็ตาม พร้อมกันนี้ ทาง “ยูเอสเอทูเดย์” และ “ซัฟโฟล์ก” ผู้จัดทำโพลล์ข้างต้น ยังระบุด้วยว่า ถือเป็นตัวเลขที่เพิ่มสูงขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับการสำรวจความคิดเห็นครั้งก่อน ซึ่งดำเนินการเมื่อ ส.ค. เดือนที่แล้ว ปรากฏว่า จำนวนกลุ่มตัวอย่างที่ตอบแบบสอบถามเพียง 1 ใน 3 เท่านั้น ที่บอกว่า ยังไม่ขอรับวัคซีนโควิดฯ เช่นเดียวกับการสำรวจของ “พิว รีเสิร์ช” สำนักวิจัยชื่อดังในสหรัฐฯ ซึ่งได้จัดทำโพลล์ครั้งล่าสุด เมื่อเดือน ก.ย.เร็วๆ นี้ ที่ระบุว่า ชาวสหรัฐฯ กลุ่มตัวอย่างที่ตอบแบบสอบถามถึงร้อยละ 49 หรือเกือบครึ่งหนึ่ง ตอบอย่างหนักแน่นว่า ไม่ขอรับวัคซีนที่สถาบันต่างๆ วิจัยและพัฒนา ที่จะนำออกมาแจกจ่ายในเวลานี้อย่างแน่นอน ทางสำนักวิจัยพิวฯ ยังระบุด้วยว่า ตัวเลขที่พวกเขาสำรวจมาได้นั้น มีมากขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับครั้งก่อนๆ ด้วยเหมือนกัน ที่ปรากฏตัวเลขของผู้ประสงค์ขอรับวัคซีนว่า มีจำนวนมากถึงร้อยละ 72 เหตุปัจจัยที่ทำให้ตัวเลขของโพลล์ทวีเพิ่มขึ้นเช่นนี้ ก็มาจากความหวั่นวิตกในเรื่องของประสิทธิภาพ และความปลอดภัยของวัคซีนที่สถาบันต่างๆ แข่งกันวิจัยพัฒนา เพื่อให้ได้วัคซีนออกมาสู่ตลาดเป็นเจ้าแรกของโลก จนอาจละเลยเรื่องประสิทธิภาพว่า สามารถป้องกันเชื้อไวรัสได้อย่างแท้จริงหรือไม่ รวมถึงมีความปลอดภัยต่อผู้รับการฉีดวัคซีนหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเรื่องของผลข้างเคียงของวัคซีนที่มีต่อผู้ใช้ ซึ่งทางกลุ่มตัวอย่างผู้ตอบแบบสอบถาม มีความวิตกกังวลเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ ในการวิจัยและพัฒนาวัคซีนป้องกันเชื้อโรคร้ายในครั้งที่ผ่านๆ มา ก็ใช้เวลานานนับปี กว่าที่วัคซีนจะถูกนำออกสู่ท้องตลาด นอกจากนี้ ในการสำรวจของ “พิว รีเสิร์ช” ยังระบุด้วยว่า กลุ่มตัวอย่างที่ตอบแบบสอบถามจำนวนถึงร้อยละ 78 แสดงความวิตกกังวลว่า อาจมีการรับรองวัคซีนที่เร็วเกินไปอีกด้วย จะละเลยถึงเรื่องการรรับประกันความปลอดภัยต่อการใช้วัคซีน รวมถึงเรื่องประสิทธิภาพ ซึ่งต่อกรณีนี้มีเพียงร้อยละ 20 เท่านั้น ที่เกรงว่า วัคซีนอาจจะถูกนำออกสู่ท้องตลาดช้าเกินไป โดยในการสำรวจโพลล์ ทางกลุ่มตัวอย่างที่ตอบแบบสอบถามได้ให้เหตุผลของความไม่มั่นใจในวัคซีนกันด้วยว่า เพราะพวกเขาไม่ต้องการเป็น “หนูลองยา” ให้กับทางสถาบันที่วิจัยพัฒนาวัคซีนที่กำลังแข่งขันกันอย่างเร่งด่วนอยู่ในเวลานี้ และขอให้ทางสถาบันต่างๆ วิจัยทดลอง แก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ วัคซีน ก่อนที่จะนำออกสู่ประชาชนให้ได้ใช้อย่างเป็นทางการก็จะดีกว่า ใช่แต่เท่านั้น ยังมีกลุ่มตัวอย่างที่ตอบแบบสอบถามจำนวนมาก คือ ร้อยละ 78 มีความกังวลว่า วัคซีนเพื่อการป้องกันเชื้อโรคร้ายนั้น อาจถูกนำไปใช้ในทางการเมืองของสหรัฐฯ ที่กำลังจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือน พ.ย.ปลายปีนี้ ซึ่งทั้งเดโมแครต และรีพับลิกัน สองพรรคการเมืองกำลังหยิบยกเรื่องวิจัยพัฒนาวัคซีนไวรัสโควิดฯ ขึ้นมารณรงค์หาเสียงกันอย่างเข้มข้นด้วย