"เพนกวิน" ไม่สน "หมุดคณะราษฎร" ถูกถอน เตรียมแจกไฟล์แบบหมุดให้มวลชนไปหล่อปักทั่วกรุง ด้าน"กรมศิลป์-กลุ่มคนเสื้อหลากสี" ลุยแจ้งความเอาผิดม็อบ"บุกรุกสนามหลวง-ปักหมุด-ปราศรัยหมิ่นเบื้องสูง" ขณะที่ "สิระ"เอาด้วยแจ้งความเอาผิด"ส.ส."ร่วมชุมนุม พร้อมยื่นยุบพรรค หลังพบส่อหนุนล้มล้างการปกครอง "บิ๊กตู่"เตือนสติม็อบ ย้ำ"ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์"หลักสำคัญของคนไทย "ชวน"ยันม็อบบุกสภา เป็นเรื่องปกติ กำชับจนท.ดูแลความปลอดภัย รับเสียดายญัตติแก้รธน.ฉบับปชช.ไม่ทัน 23-24 ก.ย.นี้ "ส.ว." ลุยถกงบฯ 64 กมธ.งบฯห่วงตั้งงบขาดดุลผูกพันสูงต่อเนื่อง ส่วน"บิ๊กแดง" เปิดใจก่อนเกษียณฯ บอกชินแล้วถูกด่า ชี้วาทกรรมตน คือเรื่องจริง เมื่อวันที่ 21ก.ย.63 นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน แกนนำกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์ และการชุมนุม เปิดเผยภายหลังหมุดคณะราษฎร 2563 ที่กลุ่มผู้ชุมนุมได้ปักเอาไว้ที่ท้องสนามหลวง เมื่อวันที่ 20 ก.ย.ที่ผ่านมา ถูกถอนออก ว่า ไม่แปลกใจ เพราะหมุดคณะราษฏรได้ถูกปักลงกลางใจกลุ่มผู้ชุมนุมทุกคน และต่อจากนี้จะแจกไฟล์แบบหมุดคณะราษฏร เพื่อให้กลุ่มผู้ร่วมชุมนุมนำไปหล่อ และไปปักตามที่ต่างๆ ที่อยากปัก ซึ่งส่วนตัวต่อจากนี้ อาจจะนำหมุดไปปักตามจุดสำคัญต่างๆทั่วกรุง ที่ สน.ชนะสงคราม นายสถาพร เที่ยงธรรม ผู้อำนวยการกองโบราณคดี ในฐานะตัวแทนจากกรมศิลปากรเข้าแจ้งความเอาผิดกลุ่มบุคคลที่บุกรุกและทำลายโบราณสถานในท้องสนามหลวงจากการชุมนุมและมีการปักหมุดคณะราษฎร เมื่อวันที่ 19 -20 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยนำเอกสาร การขึ้นทะเบียนสนามหลวง เป็นโบราณสถาน และภาพการชุมนุมจากสื่อต่างๆ มาแจ้งความดำเนินคดี โดยมีความผิดตามมาตรา85 มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปีปรับไม่เกิน 3 แสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ เช่นเดียวกับ นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แกนนำกลุ่มคนเสื้อหลากสี ได้แจ้งความกับพนักงานสอบสวน สน.ชนะ สงคราม ให้ดำเนินคดีต่อ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง ,นายอานนท์ นำภา และนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน ในความผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา112 กรณีการปราศรัยหมิ่นเบื้องสูงบนเวทีการชุมนุม นอกจากนี้ ยังมี นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ ที่เดินทางเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับ นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.พรรคไทยศรีวิไลย์ นายพีระวิทย์ เรื่องลือดลภาค ส.ส.พรรคไทยรักธรรม และน.ส.ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.พรรคก้าวไกล ในข้อหาร่วมชุมนุมในสถานที่ห้ามชุมนุม โดยแสดงตัวด้วยการชูสามนิ้วในสถานที่ห้ามชุมนุม ทั้งที่เป็นส.ส.ที่ถือเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ แต่ยังทำผิดกฎหมายเสียเอง ซึ่งในวันที่ 23ก.ย. จะยื่นเรื่องสอบจริยธรรมต่อประธานรัฐสภา อีกทั้งการชุมนุมที่เกิดขึ้นมีการโจมตีให้ร้ายต่อสถาบัน และส่อไปถึงการล้มล้างการปกครอง ซึ่งส.ส.ทั้ง 3 คน มีพฤติกรรมร่วมสนับสนุน โดยตนกำลังให้ทีมกฎหมายตรวจสอบอยู่ว่าจะยื่นศาลเพื่อให้ยุบพรรคการเมืองของทั้ง 3 คน ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี จ.นนทบุรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวถึงการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์ฯ เมื่อวันที่ 19 ก.ย. ที่ผ่านมา ว่า ต้องขอแสดงความยินดีที่ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย บ้านเมืองกลับเข้าสู่ความสงบสุข และสันติอีกครั้งหนึ่งขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกคนทีทำงานอย่าง เสียสละ อดทน และอดกลั้น จึงขอบคุณทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง "บ้านเมืองสงบสุขอย่างนี้ก็สามารถแก้ไขปัญหาได้หลายๆอย่าง จึงขอฝากไปถึงประชาชนโดยรวมด้วย ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นหลักสำคัญยิ่งของคนไทยทั้งประเทศ" ที่รัฐสภา นายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มผู้ชุมนุมจะมาปักหลักหน้ารัฐสภาในวันที่ 24 ก.ย. ในการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า "เขาก็มาปกติไม่ได้มีปัญหาอะไร เพราะสภาฯ มีคนมาอยู่ทุกวัน ยิ่งในวันประชุมก็มีมาหลายกลุ่ม ทางสภาก็ต้องดูแลอำนวยความสะดวกอย่าให้มีปัญหา ทั้งการรักษาความปลอดภัยและการระมัดระวังไม่ให้เสี่ยงติดเชื้อโควิด-19" เมื่อถามว่า จะมีผลกระทบต่อการตัดสินใจในการลงมติรับหลักการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ นายชวนกล่าวว่า ไม่คิดว่ามาคุกคามอะไร เป็นเรื่องปกติเหมือนแต่ละกลุ่มที่มาแต่ละครั้ง คงไม่มีผลอะไร นายชวน ยังกล่าวถึงกรณีที่กลุ่มไอลอว์จะยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 64 ฉบับประชาชนในวันที่ 24 ก.ย.นี้ จะสามารถนำมาบรรจุวาระ เพื่อพิจารณาร่วมกับอีก 6 ญัตติทันหรือไม่ ว่า หากทันก็ดี เพราะอยากให้พิจารณาไปพร้อมกัน นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม แกนนำกลุ่มไทยภักดี โพสต์เฟซบุ๊กว่า "ขออนุญาตนัดหมาย พี่น้องประชาชน ไปร่วมส่งรายชื่อ 130,000 รายชื่อ มอบแด่ท่านประธานสภาฯและประธานวุฒิฯ เพื่อแสดงเจตนารมณ์ คัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ประชาชนเป็นผู้สถาปนา พบกันวันที่ 23 ก.ย.63 เวลา 9.00 น. หน้าอาคารรัฐสภาใหม่" ขณะเดียวกัน ที่รัฐสภา ได้มีการประชุมวุฒิสภา (ส.ว.) โดยมี นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา ทำหน้าที่ประธานในการประชุม เพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 64 วงเงิน 3.3 ล้านบาท ที่ผ่านการพิจารณาของส.ส.เมื่อวันที่ 18 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยมีคณะรัฐมนตรี(ครม.)เข้าร่วมชี้แจง อาทิ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกฯ และรมว.พลังงาน นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม และนายทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.มหาดไทย โดย นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ ส.ว. ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 วุฒิสภา ชี้แจงว่าการพิจารณาแบ่งผลการพิจารณาออกเป็น 4 ส่วน ได้แก่ โครงสร้างเศรษฐกิจ และความท้าทาย เนื่องจากการระบาดของไวรัสโควิดทำให้เศรษฐกิจในประเทศหดตัว -12% และในปีหน้าจะฟื้นขึ้น 4-5% ความท้าทายทางเศรษฐกิจของประเทศคือ กับดักรายได้ปานกลาง ที่รัฐต้องกำหนดนโยบายเพิ่มรายได้ ขีดความสามารถในการแข่งขัน อย่างไรก็ตามการกำหนดรายการใช้จ่ายงบประมาณส่วนใหญ่มีเพียงกรอบไว้ แต่มีการกำหนดวัตถุประสงค์และการประเมินยาก ส่วนปัจจัยความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจและการคลังของประเทศ คือ สงครามการค้า สถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ภัยธรรมชาติ การควบคุมการใช้จ่ายงบประมาณให้โปร่งใส ต้องลำดับความสำคัญ ขณะเดียวกันประเทศมีงบผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ และการตั้งงบประมาณขาดดุลก็มีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ด้าน พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. เปิดใจก่อนเกษียณอายุราชการว่า ตั้งแต่เข้ามารับราชการ และเป็นผู้บัญชาการทหารบก 2 ปี ได้รู้จักกับสื่อมวลชนมาตั้งแต่สมัยคุณพ่อ (พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด) ซึ่งในห้วง 30 กว่าปีที่ผ่านมา ก็ได้สัมผัสกับสื่อหลายๆ คน ยังจำภาพความเปลี่ยนแปลงทั้งทางทหาร ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและที่สำคัญการเปลี่ยนแปลงในการทำข่าว แต่อยากให้สื่อมวลชนยึดความเป็นกลางในการนำเสนอข่าวที่เป็นสาระและอยู่บนพื้นฐานแห่งความจริง "ที่ผ่านมาจะเห็นว่า การให้ข่าวของ ผบ.ทบ.แต่ละท่าน ต้องพิจารณาถึงความสอดคล้องกับสถานการณ์ แต่ส่วนตัวผม เมื่อให้ข่าว มีทั้งคนชมและคนด่า อยู่เสมอ แต่ก็ชินแล้ว เพราะผมโดนมาเยอะ ตั้งแต่เป็นผู้การ ผู้พัน โดนพาดหัวในสื่อหลายๆ ฉบับมาตลอดหลายอย่างที่พูดออกมาก็เป็นวาทกรรม แต่ทุกอย่างนั้น หากนำไปคิดก็คือเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในชาติบ้านเมือง" พล.อ.อภิรัชต์ กล่าวต่อว่า หลังจากเกษียณราชการไป ตนคงไม่มีโอกาสมาให้ข่าวสื่อ แต่ขอให้สื่อรักษาจรรยาบรรณจริยธรรม เป็นสิ่งที่เรายังต้องดำรงอยู่ไว้ ไม่ว่าจะเป็นสื่อชนิดใดก็ตาม การรักใคร ชอบใคร ต้องคำนึงถึงมนุษยธรรมและสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในประเทศชาติบ้านเมือง ที่มีอัตลักษณ์ของประเทศชาติ ที่ทุกคนต้องทำหน้าที่ของตัวเองจะเชียร์หรือด่า ตนไม่เคยรู้สึกอะไร ไม่ได้โกรธ หรือ น้อยใจ นอกจากนี้ พล.อ.อภิรัชต์ แนะนำสื่อไปดูหนัง The social dilemma มีเนื้อหาเกี่ยวกับเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเล่าประสบการณ์ของผู้ก่อตั้งแพลตฟอร์มต่างๆ ในโซเชียลมีเดีย และพูดถึงผลลัพธ์จากการเสพสื่อโซเชียลเป็นประจำ ทั้งผลดีและผลเสีย