ศาสตราจารย์ ดร. นายแพทย์กระแส ชนะวงศ์ อธิการบดี มหาวิทยาลัยเกริก และ เจ้าของรางวัลแมกไซไซ ปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “เมื่อการค้าโลกเปลี่ยน ...การค้าไทย-จีน เปลี่ยน!” ชี้ชัดไทยต้องสร้างคนให้มี “ภาวะผู้นำ” ในโมเดล “สี จิ้น ผิง” พร้อมเชื่อมั่นความสัมพันธ์ระหว่างไทยและจีนแน่นแฟ้นมากขึ้น ด้วยการปั้นนักค้าขายมืออาชีพ ผ่านหลักสูตร “นักพัฒนาธุรกิจการค้าไทย-จีน” ศาสตราจารย์ ดร. นายแพทย์กระแส ชนะวงศ์ อธิการบดี มหาวิทยาลัยเกริก กล่าวถึงหัวข้อปาฐกพิเศษ “เมื่อการค้าโลกเปลี่ยน...การค้าไทย-จีน เปลี่ยน!” ว่า ในเวทีการค้าโลกที่ต้องปรับตามสถานการณ์โดยมีปัจจัยภายนอกหลายด้าน อาทิ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-ไนน์ทีน ส่งผลให้ทุกประเทศทั่วโลกต้องปรับตัวในทุกๆด้าน ทั้งเศรษฐกิจ วัฒนธรรม วิถีชีวิต รวมทั้งการปรับตัวนำเทคโนโลยีมาใช้กับทุกๆด้าน โดยประเทศไทยควรเน้นเดินหน้าสร้างภาวะผู้นำ เช่นเดียวกับที่ประเทศจีน มี “สี จิ้น ผิง” เป็นประธานาธิบดี ที่มีความชัดเจนในการเป็นผู้นำ โดยที่ผ่านมาประกาศจุดยืนว่า “ความฝันของเรา คือ ความฝันของประชาชน” อย่างไรก็ตาม ยังเชื่อว่า การค้าขายระหว่างไทยและจีนจะมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นมากขึ้น เพราะการทำการค้าร่วมกับประเทศจีนนั้น อาจทำได้ในหลายมิติ เช่น รัฐบาลต่อรัฐบาล ,สมาคมต่อสมาคม และ ประชาชนต่อประชาชน โดยต้องเน้นที่หลักวิชาการทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติผ่านหลักสูตร “นักพัฒนาธุรกิจการค้าไทย-จีน” หรือ นพธ.รุ่นที่ 1 “การทำการค้าขายระหว่างไทยและจีนนั้น ผมว่ามันมีหลายวิธี นอกจากรัฐบาลต่อรัฐบาลที่จะส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือกันระหว่าง 2 ประเทศ เพื่อให้ไปไหนมาไหนได้สะดวก ด้วยรูปแบบความร่วมมือกันด้วยวิธีสมาคมต่อสมาคมก็ดี หรือ แม้แต่ประชาชนต่อประชาชน ก็มีความสำคัญ บางทีอาจเกิดความคิดใหม่ๆ เช่น ประชาชนต่อประชาชนที่มีความเป็นองค์กร (people to people programme organization) และ รัฐบาลต่อรัฐบาล (government to government) ซึ่งผมว่ามีหลายระดับ แต่ว่าคนที่จะเป็นนักพัฒนาการค้าไทย-จีน ต้องเตรียมให้ดี เพื่อจะได้เป็นผู้นำ หรือ สอนคนอื่นได้ และแน่นอนเราบอกว่าโควิด 19 ทำให้อะไรหลายๆอย่างเปลี่ยนไป วัฒนธรรม วิถีชีวิต แล้วก็มีเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้อง ผมก็เลยคิดว่าเทคโนโลยีที่เราพูดๆกัน ผมไม่อยากจะให้คนไทย หรือ ครูบาอาจารย์ตื่นเต้นจนเป็นการข่มขวัญกับนักศึกษา หรือ ใครต่อใคร เทคโนโลยีทุกอย่างจะก้าวหน้าแค่ไหน เราก็รับรู้ไว้แล้วซื้อได้ด้วย ถ้าเราจำเป็นจะใช้เมื่อไหร่ เราก็มาใช้ แต่สิ่งที่ต้องพัฒนาก็คือ ภาวะผู้นำ ให้ทันสมัย ทันเหตุการณ์ตลอดเวลา เพราะชีวิตของคนที่ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าการเมือง การค้า การขาย เศรษฐกิจ การพัฒนาชนบท ชุมชน ที่เขาผ่านมาได้ด้วยดี เขาใช้สามัญสำนึกมาก บางคนบอกว่า ไม่ต้องบริหารที่ใช้สามัญสำนึก ต้องใช้วิชาการ แต่จริงๆความสำเร็จที่แท้จริง สุดท้ายจริงๆคือ สามัญสำนึก” อธิการบดี มหาวิทยาลัยเกริก กล่าว นอกจากนี้ ศาสตราจารย์ ดร.นายแพทย์กระแส ชนะวงศ์ กล่าวถึง หลักสูตรนักพัฒนาธุรกิจการค้าไทย-จีน ว่า เป็นหลักสูตรแรกของมหาวิทยาลัยเกริก ที่จะมีบทบาทสร้างบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในการทำการค้าร่วมกับจีน โดยการมาเรียนหลักหลักสูตรนี้เปรียบเสมือนนักมวยที่มีครู ซึ่งจะทำให้การทำการค้ากับจีนเดินหน้าได้อย่างราบรื่น โดยเฉพาะข้อกฎหมายการค้าที่มีต่อกันระหว่างไทยและจีน “ต่อไปนี้ถ้าเราจะเป็นนักพัฒนาธุรกิจการค้าไทย-จีน ถ้ามีคำว่านัก แสดงว่าเป็นผู้เก่ง เป็นผู้เชี่ยวชาญ เช่น นักการแพทย์ นักการศึกษา นักกฎหมาย โดยข้อที่ 1 ต้องมองประชาชนก่อน สมมติว่าเราจะค้ากับจีน ต้องศึกษาก่อนว่าจีน เป็นคนยังไง ศึกษาประวัติศาสตร์ ศึกษาวัฒนธรรม คนจีนชอบอะไร และ คนจีนมีหลายเผ่าพันธุ์เหลือเกิน และ ขณะเดียวกัน เมื่อพูดถึงจีนต้องไม่ทิ้งอาเซียน เพราะจีนกับอาเซียนต้องไปด้วยกัน เพราะเราก็อยู่อาเซียน เพราะฉะนั้นพวกเราต้องให้เวลากับตัวเอง ศึกษาคนอาเซียน คนเขมรอย่าไปว่าเขาอะไรยังไง เพราะเขามีจุดแข็งเยอะมาก ส่วนคนลาวเป็นยังไง เราก็ต้องศึกษา ข้อที่ 2 การค้าการขายสมัยใหม่ ที่มีการเปลี่ยนแปลงมาถึงวันนี้ เราต้องใช้หลักการ ความเป็นมืออาชีพ จะมาถูๆไถๆไม่ได้ ต้องมีระบบ มีหลักการ และข้อที่ 3 ตัวเราเอง ที่จะไปติดต่อใครต่อใคร ต้องมีวินัยของตัวเองให้ดีๆ” อธิการบดี กล่าว