เปิดโปงฉาวลึกเงินอุดหนุนวัฒนธรรมจังหวัดพิจิตรโครงการสวยหรูชวนหลวงพี่ หลวงพ่อ ร่วมโครงการคุณธรรม 12 ประการ ในช่วงสถานการณ์โควิด19 ขอให้วัดเปิดบัญชีธนาคารรอรับเงินโอน แต่ส่งคนเจรจาคราวแรกขอ 2,000บาท หรือ 20% อ้างเอาทำถุงยังชีพกองกลาง จากนั้นเปลี่ยนใจขอคืนทั้งหมดจะเอาไปทำเอง หลวงพี่ หลวงพ่อ ผวากลัวติดร่างแหเหมือนคดีเงินทอนวัด ใส่เกียร์ถอย ปฏิเสธ ทำแบบนี้อาตมาไม่เอาด้วย วันที่ 19 ก.ย. 2563 พระปลัดสุทธายุทธ “พระปลัดต้อย” เลขาเจ้าคณะอำเภอบางมูลนาก ซึ่งจำวัดอยู่ที่วัดท่าช้าง อ.บางมูลนาก จ.พิจิตร และ พระครูพิสัยนิมมานการ หรือ พระอธิการณรงค์ “พระทอง” เจ้าอาวาสวัดดงพลับ หมู่ 6 ต.หนองพระ อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร พระทั้งสองรูปนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทราบเรื่องดีเกี่ยวกับโครงการเงินอุดหนุนของวัฒนธรรมจังหวัดพิจิตร ที่แปลงงบโครงการกิจกรรมการบรรพชาอุปสมบทพระภิกษุสงฆ์และสามเณรและบวชศีลจาริณีภาคฤดูร้อน เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2563 แต่กิจกรรมไม่สามารถทำได้เนื่องจากสถานการณ์ในขณะนั้นเป็นนโยบายของรัฐบาล โดยศูนย์ ศบค.ได้กำหนดมาตรการ Social Distancing จึงทำให้โครงการบวชเฉลิมพระเกียรติถูกปรับเปลี่ยนเป็นการซื้อถุงยังชีพแจกให้กับพระภิกษุสงฆ์และประชาชน แต่เรื่องมิใช่เป็นเรื่องง่ายอย่างที่คิด ทันทีที่จะเข้าร่วมโครงการบุคคลผู้อ้างเป็นตัวแทนของวัฒนธรรมจังหวัดพิจิตร ซึ่งส่วนใหญ่ก็สนิทใกล้ชิดกับพระหรือเจ้าอาวาสตามวัดต่างๆ ที่ตนเป็นผู้ประสานงานระดับอำเภอก็มาเปิดใจว่ารู้สึกไม่สบายใจและไม่เต็มใจ ที่จะต้องบอกกับหลวงพี่ หลวงพ่อ ตรงๆว่า เจ้านายจะขอเงิน 2,000 บาท จากที่โอนเข้าบัญชีมาให้ 10,000 บาท ซึ่ง หลวงพี่ หลวงพ่อ ก็เห็นแก่หน้าผู้ประสานงานระดับอำเภอก็ตอบว่าไม่เป็นไรเค้าขอมาเราก็ให้ได้ เงินเหลือ 8,000 บาท เดี๋ยวหาเงินมาต่อยอดสมทบซื้อถุงยังชีพถุงละ 500 บาท ให้ได้ 20 ถุง ตามเป้า แต่พอผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงผู้ประสานงานระดับอำเภอก็โทรศัพท์มาประสานบอกว่าเจ้านายจะขอทวงเงินจากที่โอนเข้าบัญชีมาทั้งหมด 10,000 บาท เพื่อเอาเงินไปกองรวม แล้วจะบริหารจัดการเอง พระปลัดสุทธายุทธ “พระปลัดต้อย” เลขาเจ้าคณะอำเภอบางมูลนาก ซึ่งจำวัดอยู่ที่วัดท่าช้าง อ.บางมูลนาก จ.พิจิตร และ พระครูพิสัยนิมมานการ หรือ พระอธิการณรงค์ “พระทอง” เจ้าอาวาสวัดดงพลับ หมู่ 6 ต.หนองพระ อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร พระทั้งสองรูปกล่าวเพิ่มเติมว่าวิธีการดังกล่าวไม่ชอบมาพากล เพราะการที่มาขอใช้บัญชีธนาคารของวัดเอาเงินโอนเข้ามาวัดมีรายรับเป็นเงินของทางราชการก็จะต้องหาหลักฐานที่เป็นรายจ่ายให้ตรงและถูกต้องตามหลักการบัญชี แต่เมื่อยืมบัญชีธนาคารโอนเงินเข้ามาแล้วขอให้ถอนเงินสดคืนกลับไป อาตมาจะไปหาหลักฐานที่ไหนมาแทงบัญชีรายจ่าย อีกทั้งก่อนหน้านี้ก็มีเรื่องฉาวเกี่ยวกับเรื่องเงินทอนวัด แต่คราวนี้ขอคืนทั้งหมดจึงดูแล้วจะยิ่งกล่าวเงินทอนวัดเพราะเป็นเรื่องทวงเงินคืนจากบัญชีวัด หลวงพี่ หลวงพ่อ ทั้งสองรูปจึงบอกปฏิเสธไม่ขอเข้าร่วมโครงการและไม่ขอร่วมสังฆกรรมกับวัฒนธรรมจังหวัดพิจิตร เพราะการกระทำเช่นนี้น่าเชื่อได้ว่าเป็นสิ่งที่ขัดต่อระเบียบของทางราชการ แต่ที่นำมาแฉให้ผู้สื่อข่าวทราบก็เนื่องจากเป็นห่วงวัดอื่นๆที่รู้มาว่ามี 31 วัด ให้ความร่วมมือกับวัฒนธรรมจังหวัดพิจิตรในการให้ยืมบัญชีธนาคารของวัดที่มีการกระทำดังกล่าว ซึ่งอาจจะกลายเป็นผู้ให้การสนับสนุนในการกระทำที่ผิดระเบียบหรือผิดกฎหมายก็อาจเป็นได้ สำหรับความคืบหน้าของ 31 วัด ในจังหวัดพิจิตร ที่ให้บัญชีธนาคารของวัดรับเงินอุดหนุนจากสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดพิจิตร โอนเข้ามาแล้วถอนออกไปนั้น ความคืบหน้าผู้สื่อข่าวจะได้รายงานเพิ่มเติมในตอนต่อไป