นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ในฐานะประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย (TCC CONFIDENCE INDEX) หรือ TCC-CI ซึ่งเป็นการสำรวจความคิดเห็นจากภาคธุรกิจ และหอการค้าทุกจังหวัดทั่วประเทศรวม 364 ตัวอย่างในเดือนส.ค.63 พบว่า อยู่ที่ระดับ 32.6 เพิ่มขึ้นจากเดือน ก.ค.63 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 31.8 สำหรับปัจจัยบวกสำคัญที่มีผลกระทบสำคัญต่อดัชนีฯในเดือนส.ค.นี้คือ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.50% ต่อปี,รัฐบาลมีมาตรการผ่อนปรนระยะที่ 5 เพื่อให้ธุรกิจต่างๆที่ปิดไปชั่วคราวได้กลับมาเปิดกิจการได้ และประชาชนสามารถออกมาทำกิจกรรมต่างๆได้ตามปกติ,ราคาน้ำมันดีเซลในประเทศปรับตัวลดลง 30 สตางค์/ลิตร ขณะที่ปัจจัยลบได้แก่ 1.สภาพัฒน์เผย GDP ไตรมาส 2/63 หดตัว -12.2% จากผลของการส่งออกและการบริการที่ลดลง รวมทั้งการบริโภค การลงทุนภาคเอกชนที่ปรับตัวลดลงเช่นกันจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 2.ความกังวลต่อการระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของประชาชน และการดำเนินธุรกิจเปลี่ยนไปจากเดิม 3.ความกังวลต่อสถานการณ์การเมือง และการชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มเยาวชน ที่อาจส่งผลให้ประเทศไทยต้องเผชิญปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองเหมือนในอดีต 4.รัฐบาลขยายการบังคับใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อบริหารจัดการและควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 5. การส่งออกของไทยในเดือนก.ค.63 ลดลง -11.37% ที่มูลค่า 18,819 ล้านดอลลาร์ 6.เงินบาทปรับตัวแข็งค่าเล็กน้อยจากระดับ 31.41 บาท/ดอลลาร์ในสิ้นเดือนก.ค.63 มาอยู่ที่ 31.21 บาท/ดอลลาร์ ณ สิ้นเดือนส.ค.63 สำหรับกรุงเทพฯ ปริมณฑล ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยเดือนส.ค.อยู่ที่ระดับ 33.2 เพิ่มขึ้นจากระดับ 32.4 ในเดือนก.ค.โดยมีปัจจัยบวกสำคัญจากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่คลี่คลาย ทำให้ประชาชนเริ่มออกมาท่องเที่ยว และใช้บริการโรงแรมและร้านอาหารมากขึ้น, มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจภายในประเทศ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ประกอบการ ขณะที่ยังมีปัจจัยลบ ได้แก่ พฤติกรรมการใช้ชีวิตนอกบ้านที่ลดลง และยังชะลอการใช้จ่าย,สถานการณ์ทางการเมืองจากกลุ่มม็อบนักเรียน/นักศึกษา,การขยายเวลาบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวขาดสภาพคล่องทางการเงิน ส่วนภาคกลาง ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย อยู่ที่ระดับ 32.7 เพิ่มขึ้นจากระดับ 32.0 ในเดือนก.ค. โดยปัจจัยบวกสำคัญ คือ สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่คลี่คลาย ทำให้ประชาชนเริ่มออกมาท่องเที่ยวและจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น ขณะที่ปัจจัยลบสำคัญได้แก่ สถานการณ์น้ำท่วมและน้ำป่าไหลหลาก, การขยายเวลาบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน,ราคาสินค้าเกษตรยังอยู่ในระดับต่ำ,ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่ภาคตะวันออก ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย อยู่ที่ระดับ 37.2 เพิ่มขึ้นจากระดับ 35.9 ในเดือนก.ค.โดยปัจจัยบวกสำคัญคือ ความกังวลสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศลดลง ทำให้เกิดมีการเดินทางและการท่องเที่ยวมากขึ้น,มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในด้านอื่นๆ ช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจในประเทศ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ประกอบการ ส่วนปัจจัยลบ ได้แก่ พนักงานถูกเลิกจ้างจำนวนมากจากปัญหาเศรษฐกิจ รายได้ของภาคธุรกิจการท่องเที่ยวยังชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง เหตุเพราะไม่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามา โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย อยู่ที่ระดับ 31.7 เพิ่มขึ้นจากระดับ 31.0 ในเดือนก.ค.โดยมีปัจจัยบวกสำคัญได้แก่ ภาคเกษตรฟื้นตัว เนื่องจากเป็นช่วงฤดูเก็บเกี่ยวผลผลิตพืชเกษตรสำคัญ รวมทั้งมีนโยบายจากภาครัฐช่วยสนับสนุนภาคเกษตร,นักท่องเที่ยวชาวไทยเริ่มออกไปท่องเที่ยวตามต่างจังหวัดมากขึ้น ขณะที่ยังมีปัจจัยลบเช่น รายได้จากธุรกิจท่องเที่ยวยังชะลอตัว,การปรับลดพนักงานของภาคธุรกิจ,ภัยธรรมชาติส่งผลต่อผลผลิตทางการเกษตร,ปัญหาหนี้ครัวเรือนและปัญหาหนี้นอกระบบเพิ่มขึ้น สำหรับภาคเหนือ ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย อยู่ที่ระดับ 32.7 เพิ่มขึ้นจากระดับ 32.0 ในเดือนก.ค.โดยปัจจัยบวกสำคัญได้แก่ รายได้เกษตรกรดีขึ้นจากช่วงฤดูเก็บเกี่ยวผลผลิตพืชเศรษฐกิจหลัก, ความกังวลต่อสถานการณ์โควิดเริ่มลดลง และหน่วยงานต่างๆ เริ่มกลับมาจัดกิจกรรม ส่วนปัจจัยลบ ได้แก่ ปัญหาฝนตกหนักจนเกิดน้ำป่าไหลหลาก สร้างความเสียหายแก่ประชาชนในพื้นที่,สถานการณ์ท่องเที่ยวไทยยังชะลอตัวต่อเนื่อง จากที่นักท่องเที่ยวต่างชาติยังไม่สามารถเดินทางเข้าไทยได้,หนี้ภาคครัวเรือนสูงขึ้น ส่วนภาคใต้ ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยอยู่ที่ระดับ 29.2 เพิ่มขึ้นจากระดับ 28.8 ในเดือนก.ค. โดยปัจจัยบวกสำคัญ ได้แก่ ความต้องการผลผลิตยางพาราเพิ่มขึ้นจากอุปสงค์การใช้ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ที่ทำจากยางพาราปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว,รัฐบาลมีมาตรการช่วยเหลือด้านสินเชื่อและการลงทุนให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ปัจจัยลบสำคัญเช่น ฝนตกหนักบางพื้นที่จนทำให้เกิดความเสียหาย,การท่องเที่ยวยังชะลอตัวจากที่ยังไม่เปิดประเทศให้ต่างชาติเดินทางเข้าไทย,ภาระหนี้สินทางธุรกิจเพิ่มขึ้น และปัญหาสภาพคล่องทางการเงิน ทั้งนี้ข้อเสนอแนะของผู้ประกอบการที่มีไปถึงภาครัฐเพื่อเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหามีดังนี้ 1.รัฐบาลควรสนับสนุนให้เกิดการจัดสัมมนาในพื้นที่ต่างจังหวัด เพื่อกระตุ้นให้เกิดการท่องเที่ยวและการใช้จ่าย โดยเฉพาะในช่วงวันธรรมดา 2.ส่งเสริมให้เกิดการหยุดยาว เพื่อให้เกิดการท่องเที่ยวในประเทศ รวมทั้งมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวต่างๆเช่น การท่องเที่ยวเพื่อการลดหย่อนภาษี 3.ออกมาตรการที่รัดกุมเพื่อให้เกิดการท่องเที่ยวจากต่างชาติ โดยเน้นการเจาะตลาดกลุ่มนักท่องเที่ยวรายได้สูง และเป็นนักท่องเที่ยวในกลุ่มประเทศที่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดได้เป็นอย่างดี 4.ส่งเสริมให้เกิดการค้าชายแดนเพิ่มมากขึ้น เช่น การขนส่งสินค้าระหว่างกัน5.เร่งเบิกจ่ายงบประมาณในพื้นที่ เพื่อกระตุ้นการลงทุนและการใช้จ่าย และสร้างงานในพื้นที่ 6.จัดสรรดูแลแหล่งน้ำสำหรับเกษตร และการอุปโภคบริโภคให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง7.สร้างความเชื่อมั่นภายในประเทศเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และการสร้างภาพลักษณ์ให้นักลงทุนต่างประเทศต้องการเข้ามาลงทุนกับประเทศไทยเพิ่มขึ้น นายวชิร คูณทวีเทพ ผู้อำนวยการสถาบันยุทธศาสตร์การค้า มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยกล่าวว่า ดัชนีความเชื่อมั่นมีการปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 แตะระดับ 32.6 เนื่องจากการคงดอกเบี้ยนโยบายของ กนง.ที่ร้อยละ 0.5 มาตรการผ่อนปรนระยะที่5 ของรัฐบาล ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลในประเทศลดลง อย่างไรก็ตาม เริ่มมีความกังวลในปัจจัยลบต่างๆมากขึ้น โดยเฉพาะสถานการณ์ทางการเมืองที่จะมีการชุมนุมเกิดขึ้น หากยืดเยื้อจะทำให้ภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่คาดว่าจะฟื้นตัวได้อย่างช้าๆชะลอตัวลงอีก อาจมีความเสี่ยงในเรื่องของการว่างงานมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ทั้งการส่งออกที่ยังทรุดตัวจากการค้าโลก การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศเพื่อนบ้านที่ยังคงรุนแรงอาทิ ในเมียนมา ซึ่งจะมีผลต่อการค้าชายแดน ทำให้ภาพรวมของความเชื่อมั่นปรับตัวลดลงได้ โดยภาคธุรกิจต้องการให้รัฐบาลสนับสนุนการจัดสัมมนาในพื้นที่ต่างจังหวัด เพื่อกระตุ้นให้เกิดการท่องเที่ยวและการใช้จ่าย โดยเฉพาะในวันธรรมดา แต่จะต้องออกมาตรการที่รัดกุมเพื่อป้องกันการระบาดของโควิด-19