นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประทศไทย (รฟม.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการรฟม. ที่มีนายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง(ทล.) เป็นประธาน เมื่อวันที่ 16 ก.ย.63 ได้มีมติ เห็นชอบให้ขยายมาตรการลดค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายฉลองรัชธรรม(MRT สายสีม่วง) ค่าโดยสารเริ่มต้นที่ 14 บาท และจ่ายสูงสุด 20 บาทตลอดสาย จากอัตราปกติจ่ายสูงสุด 42 บาท ซึ่งมาตรการเดิมจะสิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.63 ออกไป จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระให้ประชาชน จากผลกระทบจากโรคโควิด-19 ประกอบกับสภาพเศรษฐกิจไม่ดี มีอัตราการเลิกจ้างงาน และการท่องเที่ยวและการบริการที่ซบเซา โดยจากมาตรการลดค่าโดยสาร รถไฟฟ้าสายสีม่วง ดังกล่าว ทำให้รฟม.มีรายได้ลดลง ประมาณ 20 ล้านบาท/เดือน ซึ่งได้ดำเนินมาตรการลดค่าโดยสารมาตั้งแต่เดือนม.ค. 63 รวมเวลา 9 เดือน โดยใช้เงินสำรองที่มีเป็นกระแสเงินสด มาอุดหนุนส่วนต่างรายได้ที่ลดลง ทั้งนี้เงินสำรองของ รฟม.มาจากรายได้ 2ส่วนหลัก คือ จากค่าโดยสารสายสีม่วงประมาณ 400 ล้านบาทต่อปี ค่าสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ประมาณ 2,500 ล้านบาทต่อปี โดยปัจจุบันเงินสำรองเหลือ ประมาณ 160 ล้านบาท จากที่ก่อนหน้านี้มีกว่า 500 ล้านบาท เนื่องจากล่าสุด รฟม.ถูกปรับลดงบในปี2564 ทำให้ต้องนำเงินสำรองจำนวน 260 ล้านบาทไปใช้จ่ายค่าจ้างเดินรถสายสีม่วง “คณะกรรมการ รฟม.เกรงจะกระทบต่อสภาพคล่อง จึงให้ รฟม.รายงานฝ่ายนโยบายรับทราบถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นเพื่อขอรับการอุดหนุนส่วนต่างรายได้จากมาตรการลดค่าโดยสารสายสีม่วงจากรัฐบาล ซึ่งจะเร่งสรุปเสนอกระทรวงคมนาคมและคณะรัฐมนตรี(ครม.)เร็วๆนี้” สำหรับปริมาณผู้โดยสารรถไฟฟ้าสายสีม่วง ปัจจุบันวันธรรมดาเฉลี่ย 40,000 เที่ยว-คนต่อวัน ซึ่งลดลงจากช่วงก่อน เกิดโรคโควิด-19 ที่มีเฉลี่ย 62,000 เที่ยว-คนต่อวัน ขณะที่วันหยุดผู้โดยสารเหลือประมาณ 20,000 เที่ยว-คนต่อวัน ส่วนรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน วันธรรมดาเฉลี่ย 330,000 เที่ยว-คนต่อวัน จากเดิมมีประมาณ 400,000 เที่ยว-คนต่อวัน ส่วนวันหยุดเหลือประมาณ 200,000 เที่ยว-คนต่อวัน