นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) เปิดเผยว่า ได้ปรับกลยุทธ์ในการทำธุรกิจโดยได้เตรียมที่จะผลักดันบริษัทย่อยภายใต้ธุรกิจ non-oil ทั้ง 5 บริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ได้แก่ ธุรกิจก๊าซ LPG, ธุรกิจกาแฟ, ธุรกิจให้บริการซ่อมบำรุงรถยนต์, ธุรกิจปาล์มคอมเพล็กซ์ และธุรกิจร้านมินิมาร์ท เพื่อเพิ่มสัดส่วนรายได้จากธุรกิจ non-oil ไปสู่เป้าหมาย 60% ภายในปี 66 จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนไม่ถึง 1% ของรายได้รวม เพื่อให้ส่งผลดีต่อภาพรวมผลกำไรของบริษัท สำหรับธุรกิจก๊าซ LPG ภายใต้ บริษัท แอตลาส เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด ที่ PTG ถือหุ้นราว 99% คาดว่าจะเข้าตลาดหุ้นได้เป็นบริษัทแรกในช่วงต้นปี 65 หลังจากธุรกิจเริ่มเข้าสู่ช่วงสร้างกำไร ขณะนี้ได้มีการแต่งตั้งที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) แล้ว เพื่อเตรียมแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนและเตรียมจัดทำแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) โดยมีเป้าหมายจะก้าวขึ้นเป็นเบอร์ 1 ธุรกิจก๊าซ LPG ที่ใช้กับยานยนต์ (Auto LPG) ในปี 64 จากปีนี้อยู่ในอันดับ 6 ด้วยการขยายสถานีบริการให้ได้ปีละ 50 แห่ง ทั้งในรูปแบบที่บริหารงานเอง และเฟรนไชส์ จากปัจจุบันที่มีอยู่ 200 แห่ง และจะขยายตลาดก๊าซ LPG บรรจุถังเพื่อใช้ในครัวเรือนที่มองว่าความต้องการใช้ยังเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ได้เข้าไปขยายตลาดในกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าในตลาดขายอาหารปรุงสำเร็จไปแล้ว โดยภาพรวมของธุรกิจก๊าซ LPG ทำกำไรขั้นต้นได้ดีกว่าธุรกิจน้ำมันถึง 3 เท่า พร้อมกันนั้น PTG ยังเตรียมนำธุรกิจปาล์มคอมเพล็กซ์ กำลังการผลิต 5.1 แสนตัน ที่ถือหุ้นสัดส่วน 40% เข้าตลาดหลัก ทรัพย์ในปี 64 ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างคัดเลือก FA โดยเป็นธุรกิจที่มีการผลิตครบวงจรตั้งแต่โรงสกัดน้ำมันปาล์ม (CPO) ไปถึงการผลิตไบโอดีเซล B100 และยังมีผลผลิตอื่น ๆ ที่เป็นผลพลอยได้ เช่น กลีเซอรีนบริสุทธิ์ เป็นต้น ขายให้กับทั้ง PTG และบริษัทอื่น ๆ นอกกลุ่ม ซึ่งปีนี้คาดว่าจะทำรายได้ราว 600 ล้านบาท นอกจากนี้ยังจะขยายฐานลูกค้าบัตร MAX Card แตะ 20 ล้านรายในปี 65 จากสิ้นปีคาดว่าจะเพิ่มเป็น 15 ล้านราย เพื่อหวังนำฐานข้อมูลจากผู้ถือหุ้น (Big Data) มาใช้เป็นแนวทางขยายธุรกิจ non-oil อย่างต่อเนื่อง การเพิ่มสัดส่วนรายได้จากธุรกิจ non-oil ไปสู่เป้าหมาย 60% ภายในปี 66 จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนไม่ถึง 1% ของรายได้รวม เพื่อให้ส่งผลดีต่อภาพรวมผลกำไรของบริษัท นายพิทักษ์ กล่าวว่า ในปี67ธุรกิจที่เตรียมจะเข้าตลาดหลัก ทรัพย์ (SET) คือ ธุรกิจกาแฟ ปัจจุบันมีจำนวนสาขาประมาณ 329 สาขา แบ่งเป็นพันธุ์ไทย 260 สาขา และคอฟฟี่เวิลด์ 69 สาขา หลังจากที่บริษัทได้เริ่มดำเนินงานมาเป็นเวลา 7-8 ปี ขณะนี้ได้เห็น EBITDA ฟื้นจากติดลบมาเป็นศูนย์แล้วในเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเร็วกว่าที่คาดว่าจะเป็นศูนย์ในช่วงปลายปีนี้ แม้ว่าจะได้รับผลกระทบในช่วงโควิดทำให้ยอดขายหดตัวลงไป แต่ตั้งแต่ในเดือน พ.ค.เป็นต้นมาเริ่มฟื้นตัว จนถึงเดือนส.ค. เติบโตได้ถึง 20% จากข่วงเดียวกันของปีก่อน และในเดือน ก.ย.เติบโตได้ถึง 27% ดังนั้น ปีหน้าธุรกิจกาแฟจะเข้าสู่ช่วงเริ่มนับหนึ่งในการทำกำไร ขณะดียวกันศูนย์บริการรถยนต์ออโต้แบคส์ (Autobacs) และศูนย์บริการซ่อมบำรุงรักษารถบรรทุกโปรทรัค (Pro Truck) จะทยอยถึงจุดคุ้มทุนในอีก 1-2 ปีข้างหน้า รวมถึง ธุรกิจร้านมินิมาร์ท MAX Mart ก็มีลุ้นที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ในปี 67 โดยเฉพาะร้าน MAX Mart ขณะนี้สาขายังอยู่เฉพาะภายในศูนย์บริการน้ำมันและก๊าซ LPG ของ PTG แต่ละในอนาคตยังมีช่องทางขยายไปตั้งเป็นสาขา Stand-alone ได้