นายวรวิทย์ เอื้อทรัพย์สกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินและบัญชี บริษัท สหไทย เทอร์มินอล จำกัด (มหาชน) หรือ PORT เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2563 บริษัทมีรายได้รวม 325.65 ล้านบาท ลดลง 15.04 % จากรายได้รวม 383.29 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรขั้นต้น 76.76 ล้านบาท ลดลง 17.30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 8.59 ล้านบาท ลดลง 61.87% จากกำไรสุทธิ 22.53 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัทไตรมาส 2 ปี 2563 เท่ากับ 7.97 ล้านบาทปรับตัวขึ้นจากไตรมาส 1 ปี 2563 ที่มีกำไรสทุธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯเท่ากับ 6.21 ล้านบาท โดยยังเป็นผลกระทบจากการแพร่ระบาดไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ซึ่งส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกที่ชะลอตัว การนำเข้าส่งออกที่ลดลง นายบัญชัย ครุจิตร รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทสหไทย เทอร์มินอล จำกัด (มหาชน) หรือ PORT กล่าวว่า จากการติดตามผลกระทบของการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) บริษัทเห็นสัญญาณที่ดี ในช่วงต้นไตรมาส 3 จากปริมาณตู้สินค้าที่เพิ่มขึ้น แต่ยังต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทเห็นว่าการให้บริการขนส่งทางบกเป็นหนึ่งในบริการที่ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทเล็งความสำคัญของการเพิ่มช่องทางในการบริการดังกล่าว เพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้กับลูกค้า และเป็นส่วนผลักดันผลประกอบการให้เติบโต สำหรับคาดการณ์ว่ารายได้ในปีนี้บริษัทคาดว่าจะปรับตัวลงลดไม่เกินกว่าร้อยละ 10 ทั้งนี้บริษัทยังคงเดินหน้าโครงการใหม่ทั้ง 2 โครงการได้แก่ โครงการศูนย์กระจายสินค้าบนพื้นที่กว่า 50 ไร่ คาดว่าจะเปิดดำเนินการในปี 2564 ซึ่งล่าช้ากว่ากำหนดการเดิมที่คาดว่าจะเปิดปลายปี 2563 จากผลกระทบของการแพร่ระบาดโรคไวรัสทำให้ต้องชะลอการเปิดดำเนินการ โดยจะเปิดในเขตพื้นที่ขอบเมืองกรุงเทพมหานครผ่านบริษัทบางกอก โลจิสติกส์ พาร์ค จำกัด (Bangkok Logistics Park) ซึ่ง PORT ร่วมทุนกับกลุ่มเฟรเซอร์สฯ ผู้นำการให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมไทย และโครงการท่าเรือแห่งใหม่แห่งที่ 3 ผ่านบริษัทบางกอก ริเวอร์ เทอมินอล จำกัด (Bangkok River Terminal) ซึ่ง PORT ร่วมลงทุนกับบริษัท APM Terminals จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ A.P.Moller-Maersk สายเรืออันดับหนึ่งของโลก และกับกลุ่มน้ำตาลมิตรผลเพื่อรองรับการขยายตัวในอนาคต โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปี 2564 ซึ่งทั้ง 2 โครงการนอกจากจะช่วยในการเติบโตและขยายฐานของบริษัทให้ใหญ่ขึ้น อีกทั้งยังจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งและสร้างความยั่งยืนให้แก่ธุรกิจอีกด้วย สำหรับ PORT เป็นผู้ให้บริการท่าเรือเอกชนครบ วงจรรายใหญ่ของประเทศไทยโดยให้บริการตั้งแต่ 1.ธุรกิจการให้บริการท่าเทียบเรือเชิงพาณิชย์ ครบวงจรสำหรับเรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ (Feeder) และเรือขนส่งสินค้าชายฝั่ง(Barge) รวมถึงการให้บริการบรรจุสินค้าเข้าและถ่ายสินค้าออกจากตู้คอนเทนเนอร์ (CFS) และซ่อมแซมทำความสะอาดตู้คอนเทนเนอร์ (Container Depot) 2.ธุรกิจการให้บริการขนส่ง ตู้คอนเทนเนอร์ทางบก ภายในบริเวณจังหวัดกรุงเทพมหานคร และปริมณฑลบริเวณเขตพื้นที่แหลมฉบัง 3.ธุรกิจการให้บริการพื้นที่จัดเก็บตู้คอนเทนเนอร์และคลังสินค้าโดยให้บริการพื้นที่ลานพักตู้คอนเทนเนอร์ และคลังจัดเก็บสินค้ากับลูกค้า ทั้งที่เป็นเขตให้บริการปกติและปลอดภาษีอากร (Free Zone) ซึ่งปัจจุบันบริษัทให้บริการแก่กลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ระดับโลกกลุ่มธุรกิจ e-commerce และอีกหลากหลายอุตสาหกรรม 4.ธุรกิจการให้บริการเกี่ยวเนื่องอื่นๆอาทิ การให้บริการ Freight Forwarding เป็นต้น