ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต “มนุษยโลกส่วนใหญ่...มักจะบ้าคลั่งและหลงใหลในอำนาจกันอย่างลืมตัวลืมตน ตลอดยุคสมัยแห่งประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา และดูเหมือนจะเพิ่มมากยิ่งขึ้นอย่างชวนคลื่นเหียนหวาดหวั่นในยุคปัจจุบัน ทั่วทุกพื้นที่ของยุคสมัยล้วนต่างถูกตอกตรึงด้วยพลังแห่งอำนาจอันร้อนร้าย ทั้งจากอัตตาในเชิงปัจเจกบุคคล หรือกลุ่มอำนาจที่นิยมชมชอบไฟสงคราม การกดขี่ข่มเหง ตลอดจนความหลงจริตในอวิชชาแห่งตน จนมิติของชีวิตกลายเป็นความชั่วร้ายอย่างเหลือแสนที่รุกทำลายความสงบสุขแห่งจิตวิญญาณของผู้อื่น โดยขาดภาวะสำนึกแห่งการตระหนักรู้ในบาปบุญคุณโทษ.. นี่คือภาพรวมในเชิงประจักษ์แห่งภาพแสดงของโลกวันนี้...ที่ตัวละครในฐานะบุคคลในแต่ละตัว ล้วนต่างตกอยู่กับวังวนของอำนาจที่มืดมน ทั้งในฐานะของผู้ถูกกระทำและผู้กระทำจากอำนาจ...คละเคล้ากันไปอย่างน่าเวทนา...การตีความประเด็นของอำนาจในโลกของวันนี้ จึงเป็นดั่งความบอดใบ้ที่ไร้หนทางเยียวยาแก้ไข แรงขับแห่งปรารถนาเชิงอำนาจ กำลังกลายเป็นแรงเหวี่ยงสำคัญที่ทำให้มนุษย์ทุกผู้ทุกนาม ต้องติดกับของบ่วงบาปบนวิถีแห่งอัตตาที่ทวีพลังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ...ความมัวเมาในอำนาจกำลังสถาปนาความบกพร่องทางคุณธรรมให้เกิดขึ้นอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า...เกินกว่าการเหนี่ยวรั้งทางศีลธรรมใดๆ จะสามารถระงับยับยั้งเอาไว้ได้...มันจึงคือความตกต่ำขั้นสูงสุดที่เกิดขึ้นบนโลกอันเป็นสากลนี้ โลกที่ทำได้แค่จินตนาการถึงความสุข ศานติภาพ และความรักอันยั่งยืนอย่างเปล่ากลวงและไร้ความหมาย” สาระแห่งการวิพากษ์ ในเบื้องต้นนี้ เป็นดั่งบทสรุปแห่งใจความที่โยงใยถึงหนังสือเล่มหนึ่ง...ที่สอนถึงการรับรู้ต่อศิลปะของอำนาจ ได้อย่างลึกซึ้งยิ่ง...ประหนึ่งเป็นคำสอนให้ได้พิจารณาถึงการคัดกรอง นิยามของอำนาจให้เป็นที่ประจักษ์ ด้วยแนวคิดแห่งการใคร่ครวญอันหลากหลาย เป็นศิลปะที่สามารถสื่อสัมผัสได้ผ่านกระบวนการรับรู้ในรู้สึก...ผ่านแก่นแท้ของความจริงในเชิงปฏิบัติและทดสอบ..ไม่ว่าเราจะเป็นใครก็ตาม เราต่างเรียนรู้และสามารถสัมผัสได้ถึงโครงสร้างแห่งอำนาจอันแท้จริงทางจิตวิญญาณของตนที่มีอยู่ในตัวของเราเองได้ ...สิ่งนี้สามารถจรรโลง ให้ชีวิตของเราทุกคนได้มีความ เจริญรุ่งเรือง เป็นอิสระ และสามารถก่อผัสสะกับความสุขได้อย่างแท้จริง...และยิ่งไปกว่านั้น ...มันคือหนังสือที่ระบุให้เห็นอย่างแจ้งชัดว่า...แท้จริงอำนาจหาใช่สิ่งเลวร้ายในตัวมันเอง..แต่ทว่าอำนาจที่ผู้คนทั่วทั้งโลก ต่างแสวงหาอยู่ ณ วันนี้ หาใช่อำนาจที่สามารถทำให้เราเป็นสุขอย่างแท้จริงแต่อย่างใดไม่... แต่มันมีอำนาจที่มีค่าและดีกว่านั้น อันหมายถึงอำนาจที่สามารถนำความสุขมาให้แก่เรา และผู้อื่นไปพร้อมๆกัน มันคืออำนาจในการเข้าถึงความสงบเย็นภายใน และเป็นอิสระจากความทุกข์ ถือเป็ “อำนาจภายใน” ที่ไม่เคยเรียกร้องถึงชื่อเสียงเกียรติยศใดๆ อีกทั้งยังไม่ปรารถนา ที่จะบงการผู้อื่นหรือจัดการธรรมชาติสิ่งแวดล้อม แต่ก็ทำให้ชีวิตเป็นสุขได้ ในทุกๆขณะ... “ศิลปะแห่งอำนาจ” (THE ART OF POWER)หนังสือขายดีของ “NEW YORK TIMES” ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยด้วยจิตอันวิริยะและศรัทธา...โดย “จิตร์ ตัณฑเสถียร” และ “สังฆะแห่งหมู่บ้านพลัมในประเทศไทย”.จากผลงานรังสรรค์ทางจิตวิญญาณโดย ท่าน “ติช นัท ฮันห์” พระเซ็น ชาวเวียดนามอันเป็นที่นับถือ...ผู้ใช้ชีวิตอย่างธรรมดาและเรียบง่ายในฐานะผู้นำทางจิตวิญญาณ เผยแผ่องค์ความรู้เกี่ยวกับนิกายเซ็นไปสู่การรับรู้ของผู้คนทั่วโลก...สำหรับนัยของหนังสือเล่มนี้ท่านได้พลิกค่านิยมเดิม ที่ว่าอำนาจนั้นเกิดขึ้นภายนอกเป็นปฏิกิริยาจากภายนอก...โดยเน้นให้ตระหนักถึงว่า..อำนาจอันแท้จริงมาจากภายใน..สิ่งที่เราต่างโหยหากันอย่างกระหายนั้น..เราทุกล้วนต่างมีกันอยู่ ไม่ว่าในชีวิตของเราจริงๆแล้วเราจะต้องการมันหรือไม่ก็ตาม.. ว่ากันว่า..อำนาจยังคงเป็นเรื่องหลักเรื่องหนึ่งในชีวิตของเราทุกคน ซึ่งในแต่ละวันเราทุกคนล้วนบริหารอำนาจในหลากหลายแง่มุม..หลากหลายรูปแบบ และทุกการกระทำนั้นล้วนส่งผลกระทบกับโลกที่เราอาศัยอยู่...การที่เราไม่รู้จักความหมายในเชิงลึกของอำนาจอย่างแท้จริง ทำให้เราไขว้เขวและเคลือบแคลงในการใช้อำนาจอย่างยิ่ง...โดยเฉพาะเมื่อมันได้มีโอกาสผสานเข้า กับความทะยานอยากที่ยากจะควบคุม...ที่สุดแล้วอำนาจที่แผ่ซ่านไปในทุกๆมิติ ของเราทั้งในชีวิตส่วนตัวและส่วนรวม...ก็ได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญ..ที่พรากเราไปจากความสุขที่แท้จริง.. “อำนาจนั้นมีความดีอยู่เพียงอย่างเดียว..เท่านั้น...คือการเพิ่มพูนความสุขให้แก่ตนเอง...และ แก่ผู้อื่น..การเพิ่มพูนความสุขของตนเองและความสุขของผู้อื่นนั้น..เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของเรา...แต่ทว่าเรายังคงเป็นทุกข์อยู่ตลอดเวลากับการวิ่งไล่ตามความอยากต่างๆนานาของตนเอง เรามัวแต่มองหาความสุขในอดีตหรือในอนาคต..” ท่าน “ติช นัท ฮันห์” ...ได้อธิบายให้เห็นถึงความหมายของอำนาจอันแท้จริงว่า...มันมีความหมายอย่างไร?..และทำไมผู้คนส่วนใหญ่จึงยอมที่จะทำแทบทุกสิ่งเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ ไม่ว่าเราจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม ผู้คนส่วนใหญ่ ต่างขวนขวายให้ตัวเองอยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจ เพราะต่างก็เชื่อว่า..อำนาจจะทำให้เราควบคุมสถานการณ์ของชีวิตตนเองไว้ได้..และต่างก็เชื่อกันว่า..อำนาจจะนำมาซึ่งความสุข ซึ่งเป็นสิ่งสูงสุดที่คนเราส่วนใหญ่ต้องการ.. “สังคมของเราตั้งอยู่บนอำนาจที่ถูกนิยามไว้อย่างคับแคบ...อันได้แก่ความมั่งคั่ง ความสำเร็จทางอาชีพ ชื่อเสียง ความแข็งแรงของร่างกาย ความเข้มแข็งทางการทหาร และอิทธิพลทางการเมือง...เพื่อนรักของฉัน..ฉันอยากแนะนำว่า..ยังมีอำนาจอีกประการหนึ่ง ซึ่งเป็นพลังงานสำคัญที่ยิ่งใหญ่กว่าอำนาจต่างๆ..นั่นคือพลังอำนาจที่จะมีความสุขในปัจจุบันขณะ เป็นอิสระจากสิ่งเสพติด ความกลัว ความท้อแท้สิ้นหวัง ความแบ่งแยก ความโกรธ และความหลงลืม ...พลังอำนาจเช่นนี้ เป็นสิทธิตามธรรมชาติที่มนุษย์ทุกคนมีมาตั้งแต่เกิด ไม่ว่าจะเป็นคนมีชื่อเสียง หรือเป็นคนที่ไม่มีใครรู้จัก..คนรวยหรือจน คนแข็งแรงหรืออ่อนแอ ...เราต่างสมควรมาค้นหาพลังที่ไม่ธรรมดาประเภทนี้กันเถิด” นัยความหมายของอำนาจในลักษณะดังกล่าวแสดงถึงว่า..เราทุกคนต่างต้องการเป็นผู้ทรงอำนาจและประสบความสำเร็จ...แต่หากแรงขับที่จะได้มาซึ่งอำนาจนั้นและรักษาอำนาจนั้นไว้ ทำให้เราสิ้นแรงและความสัมพันธ์ต้องตึงเครียด เราย่อมไม่สามารถเบิกบานกับความสำเร็จทางการงานและทางวัตถุนั้นได้อย่างแท้จริง ซึ่งไม่น่าจะคุ้มค่าแต่อย่างใด การดำรงชีพอย่างลึกซึ้งและมีความสุข มีเวลาให้คนที่เรารักคือความสำเร็จชนิดหนึ่ง นี่คืออำนาจที่สำคัญกว่ามาก มีความสำเร็จชนิดเดียวเท่านั้นที่มีความหมายอย่างแท้จริง นั่นคือ ความสำเร็จในการแปรเปลี่ยนชีวิต แปรเปลี่ยนตัวของเราเอง แปรเปลี่ยนกิเลสต่างๆ เปลี่ยนความกลัวความโกรธของเรา นี่คือ ความสำเร็จ คืออำนาจ ที่เป็นประโยชน์ต่อตนเอง และผู้อื่นโดยไม่ก่อให้เกิด ความเสียหายใดๆ... “ความปรารถนาในอำนาจ ชื่อเสียง และความมั่งมีนั้นไม่ได้เป็นสิ่งเลวร้าย แต่เธอควรรู้ว่า เธอแสวงหาสิ่งเหล่านี้ เพราะเธอต้องการจะเป็นสุข ต่อให้เธอร่ำรวย มีอำนาจ ถ้าเธอไม่มีความสุข ความมั่งคั่งและอำนาจนั้น...จะไปมีประโยชน์อะไร เราสามารถใช้การปฏิบัติที่เรียบง่าย เป็นรูปธรรม และให้ผลได้อย่างชัดเจน...เพื่อบ่มเพาะอำนาจที่แท้จริง อันได้แก่ อิสรภาพ ความมั่นคง และความสุขอย่างที่เราปรารถนา ณ ที่นี้ ในเวลานี้ อำนาจที่แท้จริงจะเป็นผลดีต่อตัวของเรา ต่อครอบครัว ต่อชุมชน...สังคม และโลกของเรา...” ท่าน “ติช นัท ฮันห์”...ได้เน้นย้ำถึงข้อตระหนักอันสำคัญยิ่งต่อชีวิตของเราที่ว่า..เมื่อเรารู้จักอำนาจทางมิติวิญญาณเป็นอย่างดี เราสามารถจะเปลี่ยนบรรทัดฐานของการดำเนินธุรกิจ จากที่มุ่งเน้นกำไรอย่างเดียว โดยรวมเอาความเมตตากรุณาเข้าไว้ด้วย เราไม่จำเป็นต้องตัดผลกำไรออก ความกรุณาจะสามารถนำความสำเร็จมาทั้งด้านการเงินและการเมือง เพียงแค่เราคำนึงถึงผลกระทบต่างๆ ทั้งหมดที่มีต่อบุคคลอื่น และโลก นั่นก็จัดได้ว่าเป็นธุรกิจที่ดีแล้ว บริษัทใดก็ตามที่สามารถผสานการทำกำไรเข้ากับจรรยาบรรณ และความใส่ใจต่อโลก จะมีพนักงานที่มีความสุขยิ่งขึ้น...นักการเมืองส่วนใหญ่และธุรกิจมากมายหลายประเภท ตั้งแต่วงการยาไปจนถึงแวดวงการพัฒนาเทคโนโลยีมัลติมีเดีย ก็ล้วนเริ่มต้นด้วยเจตนารมณ์ที่จะบรรเทาทุกข์ของผู้คน เราต้องรักษาความตั้งใจและเจตนาเช่นนั้นให้คงอยู่.. ในวิถีพุทธ...ความไม่แบ่งแยกคือองค์ประกอบอันหนึ่งแห่งรักที่แท้..ปัญญาเห็นแจ้งเกิดจากความเข้าใจ เราล้วนมีรากฐานแห่งความเข้าใจอยู่แล้วในตัว หากเราไม่มีเวลาเจริญสติและสมาธิ ปัญญาเห็นแจ้งย่อมไม่สามารถเกิดขึ้นในตัวเราได้ เราควรสร้างสรรค์สิ่งแวดล้อมที่เอื้อให้สติและสมาธิเกิดขึ้นได้ง่าย เช่นเดียวกับที่เราเตรียมดินที่ดี เพื่อให้ดอกไม้ที่เราปลูกสามารถงอกงามได้ดี ปัญญาเห็นแจ้งคือความเข้าใจที่เราได้รับจากการเจริญสติ หากเราปล่อยตัวเองให้ไหลเลื่อนไปกับความเสียใจในอดีตและความกังวลเกี่ยวกับอนาคต ปัญญาเห็นแจ้งจะเติบโตได้ยาก และจะทำให้ยากขึ้นสำหรับเราทุกคน ที่จะรู้ว่าควรทำอย่างไรให้ถูกต้องในปัจจุบัน.. ที่สุดแล้ว ท่าน”ติช นัท ฮันห์”ก็ได้ให้ข้อสรุปของศิลปะแห่งพลังอำนาจไว้อย่างชวนใคร่ครวญและปลุกตื่นจิตสำนึกของผู้สัมผัสในคำสอนของท่านทุกคนอย่างแม่นตรงและเปิดกว้างว่า...คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่าตัวเองไร้อำนาจ ไม่อาจทำอะไรได้มากเพื่อเปลี่ยนแปลงสถานการณ์รอบตัว โดยเฉพาะการเมือง ซึ่งแท้จริงแล้ว เราเองก็เป็นคนหนึ่งที่สามารถลุกขึ้นมาทำบางสิ่งเพื่อเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้ นักการเมืองก็เหมือนกับคนทั่วไปที่มีทั้งเมล็ดพันธุ์ที่ดีงามและไม่ดีงาม...พวกเขาถูกรายล้อมด้วยผู้คนที่ไม่ได้รดน้ำ... เมล็ดพันธุ์ที่ดีที่มีอยู่ในตัวเขา หรือมีที่ปรึกษาที่คอยแต่จะรดน้ำเมล็ดพันธุ์แห่งความกลัว ความโลภ ความโกรธ และความรุนแรงที่มีอยู่ในตัวเขา เราจึงจำเป็นที่จะต้องหาวิธีที่จะเข้าถึงและช่วยเหลือผู้นำทางการเมืองเหล่านี้...การประท้วงอาจจะเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยได้ แต่เราต้องทำอย่างมีกุศโลบาย เพื่อที่คนทั่วไปจะเห็นได้ว่า การประท้วงเป็นการแสดงออกซึ่งความรักไม่ใช่การโจมตี..แต่คนส่วนใหญ่นั้นมัวแต่ยุ่งอยู่กับปัญหาจิปาถะรายวันของตนเองจนเฉยเมยกับสิ่งเหล่านี้ เราอาจจะมีความเอาใจใส่อยู่ แต่เรามัวแต่ยุ่งอยู่กับความทุกข์โศกอันจุกจิกของตนเอง..จนไม่มีเวลาและพลังอำนาจเพื่อทำในสิ่งสำคัญเหล่านี้..ที่แท้จริงแล้วไม่ต้องใช้เวลามากเลย.. ในขณะที่โลกของวันนี้กำลังเต็มไปด้วย วิกฤตแห่งการใช้พลังอำนาจจากการบ่มเพาะ ด้วยเมล็ดพันธุ์ที่ไม่ดี มันเต็มไปด้วยชะตากรรมแห่งความผิดบาป และผู้คนที่หลงติด.. หลงใหลในอำนาจอย่างบ้าคลั่งและใช้อำนาจไม่เป็น..โศกนาฏกรรมนานาได้โถมทับโลกจนท่วมท้น และรู้สึกได้ถึงความรุนแรงอันหม่นหมอง ภาวะแห่งการกระหายอำนาจ รวมทั้งความอยากได้ใคร่มี ในการหลงจริตทางอำนาจนั้น คือมายาลวงที่ทำให้ทั้งสัญชาตญาณ และจิตวิญญาณของมนุษยโลก ณ วันนี้ถูกทำลายและลากจูงไปสู่หนทางที่ร้อนร้ายอย่างไร้ศิลปะ...โลกขาดศิลปะอันอ่อนโยนที่จะจัดการเยียวยากับอำนาจอันบ้าคลั่งและเตลิดเปิดเปิงนั้น เราขาดศิลปะแห่งการใช้อำนาจที่ดีงามเพื่อจัดการกับอำนาจอันสกปรกและชั่วร้ายที่เกิดขึ้นกับใจที่ไม่ใสสะอาดของมนุษย์ ใจที่เปี่ยมเต็มไปด้วยความหยาบกระด้างที่พร้อมจะเข่นฆ่าทุกสรรพสิ่งนานาบนโลกนี้ให้สิ้นไป...แต่ใจความอันเป็นดั่งผลึกความคิดอันหยั่งเห็น และหยั่งรู้... ที่รวมกันเป็นสาระเนื้อหาที่ล้ำลึกของหนังสือเล่มนี้ คืออุบัติทางความคิดที่เป็นเจตจำนงของการรังสรรค์ศานติให้เกิดขึ้นเป็นแสงสว่าง ที่กอปรด้วยความดีงาม เป็นวิถีส่องใจ บนสายทางของการอยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจ เฝ้ามอง ทะนุถนอม และฟื้นตื่นความสิ้นหวังให้กลับมาสู่นิยามแห่งความเป็นโลกอีกครั้ง...ในนามแห่งความบริสุทธิ์ของอำนาจที่สามารถโอบประคอง และค้ำยันความเป็นไปแห่งการดำรงอยู่ของโลกเอาไว้ได้...อย่างสงบงามและเป็นความสุขอันจริงแท้.ระหว่างกันและกัน...ชั่วนิรันดร์.. “อำนาจนั้นมีความดีแค่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น คือการเพิ่มพูนความสุขของตนเอง...และความสุขของผู้อื่น...”