จากกรณีที่มีคลิปเสียงการพูดคุยระหว่างตำรวจยศ "พล.ต.อ." ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา กับผู้ใต้บังคับบัญชายศ "พ.ต.อ." ในเรื่องเกี่ยวกับการขายบัตรคอนเสิร์ต "คัมภีร์แผ่นดิน" เพื่อนำเงินเข้าชมรมเพื่อนช่วยเพื่อนตำรวจแห่งชาติ จนกระทั่ง มีการสัมภาษณ์ พ.ต.อ.ไพรัตน์ ไพพรรณรัตน์ รอง ผบก.อก.บช.ภ.9 ยอมรับว่าเป็นคนในคลิปเสียง ส่วนอีกฝ่ายมีการระบุว่า เป็น พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รอง ผบ.ตร. จนนำไปสู่การแจ้งความดำเนินคดีและออกหมายจับ พ.ต.อ.ไพรัตน์ ตามที่มีการนำเสนอข่าวไปแล้วนั้น เมื่อเวลา 21.00น. วันที่ 9 ก.ย.63 ที่ สน.ปทุมวัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทาง พ.ต.อ.ไพรัตน์ ไพพรรณรัตน์ รอง ผบก.อก.บช.ภ.9 ได้เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.เจริญสิทธิ์ จงอิทธิ รอง ผกก.(สอบสวน) สน.ปทุมวัน หลังมีหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ เลขที่ จ.498/2563 ลงวันที่ 9 ก.ย. 2563 ในข้อหา "ดักฟัง ใช้ประโยชน์หรือเปิดเผยข้อความที่มีการติดต่อทางโทรศัพท์หรือเครื่องมือสื่อสารอื่นใด โดยไม่มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมาย ,กระทำด้วยประการใดๆเพื่อดักรับไว้ใช้ประโยชน์หรือเปิดเผยข้อความข่าวสารหรือข้อมูลอื่นใด ที่มีการสื่อสารทางโทรคมนาคมโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ,หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา เพื่อเข้ามารับทราบข้อกล่าวหา พ.ต.อ.ไพรัตน์ กล่าวว่า ภายหลังเข้าพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียกเบื้องต้นได้ชี้แจงกับพนักงานสอบสวนว่า คดีดังกล่าวได้มีการร้องขอความเป็นธรรมมาที่สน.ปทุมวัน แล้ว 4-5 ครั้ง แต่ไม่มีการตอบรับ จนเวลาผ่านไปหลายเดือน มีจดหมายเรียกไปที่บ้านตน ซึ่งตนมองว่าเรื่องดังกล่าวเป็นการส่งหมายเรียกที่ไม่ชอบเพราะไม่มีการเซ็นรับเอกสารทั้งที่ในบ้านมีคนอยู่อาศัย แต่ใช้การใส่ในตู้ไปรษณีย์เหมือนจดหมายทั่วไป พอมาถึงโรงพักถึงทราบว่ามีการออกหมายจับตน ซึ่งทางพนักงานสอบสวนได้อ่านหมายจับให้ฟัง โดยตนได้ให้การกับพนักงานสอบสวน พร้อมนำพยานหลักฐานต่างๆที่้เกี่ยวข้องมามอบให้ เช่น เรื่องที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติอยู่ระหว่างตรวจสอบว่าคลิปนีัเข้าข่ายเป็นการข่มขู่ หรือกระทำผิดกฎหมายใดหรือไม่ จนถึงขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมถึง ที่มีการฟ้องร้องคดีในชั้นศาลในความผิดฐานหมิ่นประมาทที่เกี่ยวพันถึงคลิปเสียงดังกล่าวนั้น ก็ได้ขอให้พนักงานสอบสวนรอการพิจารณาว่าผลการพิจารณาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะออกมาอย่างไร อย่างไรก็ตาม หลังให้ปากคำ พนักงานสอบสวนได้นัดหมายให้ตนสามารถนำหลักฐานมาส่งให้ เพื่อนำไปประกอบการพิจารณาเพิ่มเติมได้ภายใน 30 วัน ซึ่งหากพนักงานสอบสวนพิจารณาแล้วมีความเห็นสั่งฟ้อง ก็จะส่งสำนวนอัยการรับไปพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป พ.ต.อ.ไพรัตน์ กล่าวด้วยว่า วันนี้ตนให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และไม่ต้องมีการวางหลักทรัพย์เพื่อประกันตัว เนื่องจากเดินทางมาพบพนักงานสอบสวนเอง ทั้งนี้ ในช่วงบ่ายของวันพรุ่งนี้ (10 ก.ย.) ตนพรัอมทนายความ จะเดินทางไปที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ เพื่อดำเนินการฟ้องกลับคนที่มารัองทุกข์ดำเนินคดีกับตนในขัอหาดักฟัง ในความผิดฐานแจ้งความเท็จ โดยยืนยันว่าเพื่อเป็นการรักษาความยุติธรรมให้เป็นไปอย่างถูกต้อง.