GBS ประเมินดัชนีหุ้นไทยแกว่งตัวขาลงในกรอบ 1,270-1,330 จุด เหตุภาพรวมการกระตุ้นนโยบายเศรษฐกิจยังไร้แรงหนุนขับเคลื่อน แม้ ครม.มีมติเห็นชอบให้มีการจ้างนักศึกษาจบใหม่ พร้อมแนะนำกลยุทธ์การลงทุนหุ้นอิงตามกระแส รับอานิงสงส์มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นหลักอาทิ CPALL-MAKRO–TNP– CPN–CRC– ERW–CENTEL และ MINT รวมหุ้นที่ได้ประโยชน์จากเตรียมขาย iPhone 12 ได้แก่ COM7–SPVI –CPW–SYNEX และ JMART บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ เคลื่อนไหวในกรอบดัชนีที่ระดับ 1,270-1,330 จุด ทั้งนี้หลังจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)มีมติเห็นชอบให้มีการจ้างงาน นิสิต นักศึกษา ผู้จบการศึกษาใหม่ ปวช.และ ปวส.จำนวน 2.6 แสนตำแหน่ง พร้อมทั้งมีมติเห็นชอบโครงการ Gastronomy tourism หรือการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ล้านนา วงเงิน 48 ล้านบาท เพื่อกระตุ้นรายได้ให้กับผู้ประกอบการและเกษตรกรในแต่ละพื้นที่ ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวทางฝ่ายวิจัยมองว่าสามารถช่วยเยียวยาเศรษฐกิจภาพรวมได้ในระดับหนึ่ง นอกจากนี้ยังแนะให้เฝ้าจับตาการประชุมคณะกรรมการร่วม 3 สถาบันภาคเอกชน (กกร.)ที่จะเกิดขึ้นในวันนี้(9 ก.ย.63) ส่วนปัจจัยในต่างประเทศนั้น ฝ่ายวิจัยมองว่า สหรัฐฯเริ่มส่งสัญญาณเชิงบวก โดยเห็นได้จากกรณีที่สหรัฐฯเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่ม 1.4 ล้านตำแหน่ง สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 1.255 ล้านตำแหน่ง ขณะที่อัตราว่างงานลดลงแตะ 8.4% ในส.ค.ส่งผลให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประเมินเศรษฐกิจสหรัฐฯจะฟื้นตัวในปีหน้า และคาดว่าจะมีการอนุมัติวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ในเดือนต.ค.นี้ ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนพ.ย.นี้ น.ส.วิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้แกว่งตัว Sideway ขาลงแม้มีแรงหนุนจากการที่เฟดจะใช้เครื่องมือใหม่ที่เรียกว่า "เป้าหมายเงินเฟ้อเฉลี่ย" เพื่อสนับสนุนตลาดแรงงานและเศรษฐกิจสหรัฐ ขณะที่นักลงทุนยังวิตกกังวลการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ของประเทศเพื่อนบ้านว่า จะมีการลักลอบเข้าไทย และอาจก่อให้เกิดการแพร่ระบาดระลอก 2 รวมทั้งความกังวลต่อสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างสหรัฐและจีน ที่อาจกลับมาอีกหลังประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศว่าเขาจะลดระดับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับจีน และขู่ว่าจะใช้มาตรการลงโทษของสหรัฐที่ไปสร้างงานในต่างประเทศ สำหรับกลยุทธ์การลงทุน ทางฝ่ายวิจัย แนะนำลงทุนในหุ้นที่ได้ประโยชน์มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในการเพิ่มการใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจ ได้แก่ CPALL- MAKRO – TNP – CPN – CRC – ERW – CENTEL และ MINT รวมทั้งเก็บหุ้นที่ได้ประโยชน์จากกระแสข่าวเตรียมออกขาย iPhone 12 ในเดือนต.ค.นี้ได้แก่ COM7–SPVI–CPW–SYNEX และ JMART ขณะที่ภาพรวมของการลงทุนในทองคำนั้น นายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า จากความผันผวนของราคาทองคำฝ่ายวิจัย แนะนำให้หาจังหวะขายเมื่อราคาปรับตัวขึ้น เนื่องจากทองคำปรับตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อมีข่าวลบทำให้เรามีความกังวลเพิ่มขึ้นถึงการจบรอบ จึงแนะนำให้ลดสถานะและขายเมื่อราคาปรับตัวขึ้น คาดกรอบราคาทองคำในสัปดาห์นี้ 1,900-1,950 $/Oz ทั้งนี้ต้องยอมรับว่า ราคาทองคำโลกในเดือนสิงหาคมปรับตัวลง 7.50 $/Oz โดยระหว่างเดือนปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดใหม่ที่ 2,074 $/Oz โดยได้แรงหนุนจากสหรัฐใกล้จะบรรลุข้อตกลงมาตรการเยียวยาเศรษฐกิจครั้งใหม่ ซึ่งมีวงเงิน 1 ล้านล้านดอลลาร์ เน้นช่วยเหลือเด็กๆให้กลับมาเรียนในโรงเรียนอีกครั้ง และช่วยเหลือพนักงานกลับมาทำงาน อีกทั้งปกป้องบริษัทเอกชนไม่ให้ถูกฟ้องร้องทางกฎหมายเกี่ยวกับหนี้สิน แต่ถูกขายทำกำไรกว่า 130 $/Oz ในวันเดียวหลังผู้นำรัสเซียประกาศว่า รัสเซียเป็นประเทศแรกของโลกที่มีการจดทะเบียนวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ซึ่งวัคซีนนี้ได้ผ่านกระบวนการตรวจสอบแล้ว นอกจากนี้ผลการประชุมเฟดที่แจ็คสันโฮลเปลี่ยนจากการกำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อตายตัวที่ 2% เป็นเป้าหมายเงินเฟ้อเฉลี่ยซึ่งจะทำให้อัตราเงินเฟ้อมีความยืดหยุ่นโดยไม่มีการกล่าวถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมทำให้นักลงทุนผิดหวังและเทขายทำกำไรทองคำเพิ่มเติม