เหลือเวลาเพียง 9 สัปดาห์เท่านั้น ก็จะได้รู้ว่า “สหรัฐอเมริกา” ประเทศเจ้าของฉายา “พญาอินทรี” จะมี “ประธานาธิบดีคนหน้าเดิม” คือ “นายโดนัลด์ ทรัมป์” หรือจะได้ “ประธานาธิบดีคนใหม่” คือ “นายโจ ไบเดน” โดยวันหย่อนบัตรเลือกตั้ง ได้คืบคลานเข้าใกล้ไปทุกขณะ คือ วันอังคารที่ 3 พ.ย.นี้ ตามวันเวลาท้องถิ่น ห่างจากไทยเราประมาณ 11 – 12 ชั่วโมง ว่ากันถึงคะแนนนิยมของผู้สมัครรับเลือกตั้งทั้งสองคน คือ นายทรัมป์ ตัวแทนของพรรครีพับลิกัน และนายไบเดน ตัวแทนของพรรคเดโมแครต ก็ต้องบอกว่า ต้องจับตามองเป็นพิเศษนับจากนี้ เนื่องจากทั้งสองพรรค ต่างระดมการรณรงค์หาเสียง รวมถึงกลยุทธ์สำหรับการแสดงทรรศนะ การอภิปรายโต้วาที หรือที่เรียกกันฮิตติดปากว่า “การดีเบต (Debate)” กันจ้าละหวั่น เพื่อช่วงชิงคะแนนนิยมของผู้สมัครฝ่ายตนให้ได้มากที่สุด กับในช่วงเวลาที่อยู่เหลืออยู่เพียง 2 เดือนกับอีก 1 อาทิตย์ หรือสัปดาห์ ทั้งนี้ ท่ามกลางสถานการณ์บรรยากาศการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ที่กำลังสัประยุทธ์กันฝุ่นตลบข้างต้น ก็ส่งผลให้ก่อนหน้านี้ ทางนายทรัมป์ และทางพรรครีพับลิกัน ต้องขยับปรับทัพทีมงานหาเสียงกันขนานใหญ่ ถึงขนาดเปลี่ยนตัว “หัวหน้าทีมงานหาเสียง” หรือชื่อเป็นทางการว่า “ผู้จัดการคณะรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง (Campaign Manager)” แบบเข้าทำนองสำนวนไทยเราที่ว่า “เปลี่ยนม้ากลางศึก” เลยทีเดียว เมื่อไม่นานมานี้ โดยเปลี่ยนจาก “นายแบร็ด ปาร์สเกล” มาเป็น “นายบิลล์ สเตเปียน” เพื่อหวังตีตื้นคะแนนนิยมที่กำลังตกต่ำของนายทรัมป์ ให้กลับมาดีขึ้น ดูเหมือนว่า การขยับปรับทัพของรีพับลิกัน ส่งอานิสงส์อยู่มิใช่น้อย เพราะในการสำรวจความคิดเห็นของชาวอเมริกัน โดยสำนักโพลล์ต่างๆ ในสหรัฐฯ ครั้งล่าสุด ปรากฏว่า นายทรัมป์ กลับมีคะแนนนิยมดีขึ้นมาอย่างผิดหูผิดตา โดยคะแนนนิยมโดยรวมของประธานาธิบดีทรัมป์ เฉลี่ยแล้วขยับขึ้นมาอยู่ที่ราวร้อยละ 43 ขณะที่ นายไบเดน มีคะแนนนิยมโดยรวมลดลงมาเฉลี่ยแล้วอยู่ที่ราวร้อยละ 49 ลดช่องว่างไล่ตามหลังอยู่เพียงราวๆ 6 จุดเท่านั้น จากเดิมที่เคยห่างมากไม่ต่ำกว่า 8 – 10 จุด ในการสำรวจความคิดเห็นของชาวอเมริกันเมื่อช่วงก่อนหน้า แต่ที่นับว่า สร้างแปลกใจให้แก่บรรดาคอการเมืองสหรัฐฯ ระดับฮาร์ดคอร์ได้ไม่น้อย ก็เห็นจะเป็นคะแนนนิยมของประธานาธิบดีที่พื้นที่รัฐ ที่เรียกกันว่า “รัฐสมรภูมิ” หรือ “แบทเทิลกราวน์ดสเตท (Battleground State)” หรือที่หลายคนเรียกเรียกว่า “รัฐสวิงสเตท (Swing State)” ซึ่งเป็นรัฐที่มีการต่อสู้ สัประยุทธ์ กันดุเดือด สมนามตามชื่อฉายาว่า เป็นรัฐสมรภูมิ แถมยังมีการพลิกผันกันไปมาเป็นอย่างสูง ปรากฏว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ ก็กลับมามีคะแนนนิยมดีขึ้นเช่นกัน เมื่อเปรียบเทียบกับนายไบเดน คู่แข่ง โดยปรากฏว่า คะแนนนิยมของนายทรัมป์ ไม่ได้ทิ้งห่างนายไบเดนอย่างสุดกู่เหมือนการสำรวจโพลล์ครั้งก่อนๆ จนตามหลังนายไบเดนเพียงร้อยละ 3 – 5 เท่านั้น ซึ่งเหล่านักวิเคราะห์แสดงทรรศนะว่า มีความสูสีกันมาก เพราะสถานการณ์สามารถพลิกผันได้โดยง่ายในรัฐสมรภูมิเหล่านี้ ทั้งนี้ ในรัฐสมรภูมิที่ปรากฏว่า คะแนนนิยมของนายทรัมป์ กลับมาดีขึ้นข้างต้นนั้น ที่สำคัญๆ ได้รับการจับตาเป็นพิเศษ ก็ได้แก่ รัฐเพนซิลเวเนีย รัฐมิชิแกน รัฐวิสคอนซิน ซึ่งทั้ง 3 รัฐนี้ ที่ผ่านมา มักเป็นฝ่ายผู้สมัครฯ ของพรรคเดโมแครตที่คว้าชัยเสียส่วนใหญ่ หรือถ้าฝั่งผู้สมัครฯ ของทางพรรครีพับลิกัน จะชนะเลือกตั้ง ก็ชนะอย่างเฉือนชัยเฉียดฉิว ยกตัวอย่างการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ครั้งที่แล้วเป็นต้น ที่ปรากฏว่า นายทรัมป์ มีชัยเหนือนางฮิลลารี คลินตัน คู่แข่งผู้สมัครฯ จากพรรคเดโมแครต ได้อย่างหวุดหวิด โดยคะแนนนิยมจากการสำรวจโพลล์ล่าสุดที่ออกมา ก็ทำให้บรรดานักวิเคราะห์แสดงทรรศนะว่า การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะมีขึ้นในวันอังคารที่ 3 พ.ย. หรืออีกราว9 สัปดาห์ที่เหลือนี้ น่าจะเป็นการประชันศึกที่เข้มข้นสูสีอีกครั้งหนึ่ง โดยทางฟากเดโมแครต ที่มีนายไบเดน เป็นผู้สมัครฯ อาจจะไม่สามารถบดขยี้นายทรัมป์ ของทางฝั่งรีพับลิกันได้อย่างง่ายๆ เหมือนสถานการณ์โพลล์ที่ออกมาก่อนหน้าโน้น โดยทางนายทรัมป์ จากค่ายรีพับลิกัน ยังมีเวลาเหลืออยู่สำหรับการดีเบต 3 ครั้ง ซึ่งจะเริ่มขึ้นในปลายเดือน ก.ย.นี้ ถึงเดือน ต.ค. อันมีเวลามากพอสำหรับการฟื้นคะแนนนิยม รวมถึงการดึงคะแนนจาก “คณะผู้เลือกตั้ง (Electoral College) ในสังเวียน Wอิเล็กโทรัลโหวต (Electoral Vote)” โดยในสังเวียนนี้ ทางเดโมแครต ได้เคยชอกช้ำมาแล้ว สำหรับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ครั้งที่ผ่านมา