นายอนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยว่า การติดเชื้อ covid-19 ทั่วโลกมากกว่า 27 ล้านคน และประเทศเพื่อนบ้านอย่างเมียนมา มีการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว มีความเป็นไปได้มากขึ้นที่ประเทศไทยจะเข้าสู่การระบาดระลอกสอง Covid-19 แต่เชื่อมั่นว่า ระบบสาธารณสุขของไทยจะรับมือการแพร่ระบาดได้ดีกว่าหลายประเทศที่มีการระบาดระลอกสองไปก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตามผลกระทบทางเศรษฐกิจยังไม่สามารถประเมินได้ชัดเจนและขึ้นอยู่กับว่า ไทยต้องปิดเมืองรอบสองหรือไม่ หากปิดเมืองรอบสอง การหดตัวติดลบ 12.2% ในไตรมาสสองจะไม่ใช่จุดต่ำสุดของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ โดยความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่เป็นตัวกำหนดการใช้จ่ายภายในประเทศจะเป็นปัจจัยสำคัญในการบ่งชี้ว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้จะเป็นอย่างไร ประเมินในเบื้องต้นว่า ผลกระทบทางเศรษฐกิจของการระบาดระลอกสองต่อระบบเศรษฐกิจและระบบการเงินของประเทศอาจจะรุนแรงกว่าการระบาดระลอกแรก หากการระบาดระลอกสองนำไปสู่การปิดเมืองแบบเดือนเมษายนและเดือนพฤษภาคมอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ขอให้ทุกภาคส่วนเตรียมรับมือผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการระบาดระลอกสองของ Covid-19 ในไทยด้วยความไม่ประมาท แม้ความพร้อมของระบบสาธารณสุขและการรองรับผู้ป่วยของประเทศดีขึ้นมากกว่าในช่วงระบาดระลอกแรก แต่ฐานะทางการเงินการคลังของประเทศอ่อนแอลง หนี้ภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจพุ่งสูงและมีความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ ศักยภาพในการรองรับผลกระทบของเศรษฐกิจไทยจากการปิดเมืองเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดระลอกสองด้อยลง มีข้อจำกัดในการใช้นโยบายทางการคลังและมาตรการทางเศรษฐกิจอื่นๆมากขึ้น ขณะที่นโยบายการเงินการคลังเสนอให้ผ่อนคลายเพิ่มเติม โดยมีข้อเสนอดังต่อไปนี้ ข้อแรก สำหรับครัวเรือนที่มีสัดส่วนภาระหนี้สินเกิน 100% ของรายได้และสมาชิกในครอบครัวถูกปลดออกจากงานหรือว่างงานจากภัยพิบัติธรรมชาติ(กรณีเกษตรกรประสบภัยแล้งหรือน้ำท่วม) ควรศึกษาถึงการยกเลิกหนี้ครัวเรือนลง 30-50% ในระบบและพักการชำระหนี้เป็นเวลา 2 ปี หากครัวเรือนเป็นหนี้นอกระบบหรือหนี้ธนาคารพาณิชย์ให้โอนมายังธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ พร้อมให้เงินช่วยเหลือชดเชยรายได้ครอบครัวละ 5,000 บาทต่อเดือน (ไม่รวมแรงงานที่อยู่ในระบบประกันสังคมซึ่งมีระบบประกันการว่างงานดูแลอยู่แล้ว) เป็นระยะเวลา 6 เดือน มอบสินเชื่อเพื่อการศึกษาไม่คิดดอกเบี้ยสำหรับบุตรธิดา และ สินเชื่อเพื่อการดำรงชีพในอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 2% ส่วนข้อสอง ครัวเรือนที่มีรายได้ต่อเดือนต่ำกว่า 15,000 บาท ให้พักชำระหนี้เป็นเวลา 2 ปี หากครัวเรือนเป็นหนี้นอกระบบหรือหนี้ธนาคารพาณิชย์ให้โอนมายังธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ มอบสินเชื่อเพื่อการศึกษาไม่คิดดอกเบี้ยสำหรับบุตรธิดา และสินเชื่อเพื่อการดำรงชีพในอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 2% ข้อสามจัดตั้งกองทุนเพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำพิเศษ โดยให้ธุรกิจท่องเที่ยวและกิจการต่อเนื่องนำเงินไปปรับโครงสร้างกิจการเพื่อไปประกอบธุรกิจอื่น และธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจาก Disruptive Technology และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค ข้อสี่จัดสรรงบประมาณของรัฐบาลหรือสนับสนุนทางการเงินหรือสินเชื่ออัตราดอกเบี้ย 0% สำหรับการวิจัยวัคซีน Covid-19 การผลิต การแจกจ่ายให้ทั่วถึงและประชาชนสามารถเข้าถึงการตรวจ การฉีดวัคซีนป้องกันฟรีทั้งหมด โดยนำเงินงบประมาณที่รั่วไหลจากการสั่งซื้อหรือนำเข้าวัสดุอุปกรณ์ต่างๆที่ไม่จำเป็นเร่งด่วนมาใช้สนับสนุน นายอนุสรณ์กล่าวอีกว่า ข้อเสนอมาตรการทางการเงินดังกล่าวสามารถดำเนินการได้ทันทีผ่านกลไกธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ ฉะนั้นรัฐบาลต้องเตรียมงบประมาณเพื่อเพิ่มทุนให้กับสถาบันการเงินของรัฐด้วยเพื่อสามารถดำเนินการตามข้อเสนอแนะทางนโยบายตามที่กล่าวมา คาดการณ์ว่า ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐต้องเพิ่มทุนภายในปีหน้าอีกครั้งหนึ่ง หากสถานการณ์เศรษฐกิจไม่กระเตื้องขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงปีหน้า ธนาคารพาณิชย์บางแห่งอาจจำเป็นต้องเพิ่มทุนในช่วงปีหน้าเช่นเดียวกัน “หากธนาคารพาณิชย์บางแห่งไม่สามารถเพิ่มทุนได้และมีหนี้เสียจำนวนมาก รัฐต้องเข้าไปลดทุนเพื่อชดเชยความเสียหายจากการขาดทุนหรือหนี้เสียก่อนแล้วจึงเพิ่มทุนแล้วแปลงสภาพธนาคารเอกชนเป็นธนาคารรัฐวิสาหกิจระยะหนึ่ง อาจใช้เวลา 3-5 ปีแล้วค่อยแปรรูปธนาคารรัฐวิสาหกิจแห่งนั้นกลับไปเป็นธนาคารเอกชนในภายหลัง” ทั้งนี้การที่ไทยจะรอดพ้นการระบาดระลอกสองอย่างรุนแรงได้เหมือนบางประเทศนั้น เราต้องให้ความร่วมมือในการปฏิบัติตามแนวทางของสาธารณสุขอย่างจริงจังและร่วมกันควบคุมการแพร่ระบาดอย่างมีเอกภาพ จากงานวิจัยและข้อมูลในเชิงประจักษ์พบว่า ประเทศที่มีการระบาดระลอกสองรุนแรง ส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจในวงกว้าง เป็นเพราะมีระบบสาธารณสุขอ่อนแอ ประชาชนไม่ให้ความร่วมมือ ประชาชนมีฐานะยากจนและมีหนี้ครัวเรือนในระดับสูง ไม่สามารถหยุดงานได้เมื่อติดเชื้อ ไม่บอกความจริงเพราะกลัวตกงาน และมักมีระบบการจ้างงานที่ไม่เป็นธรรม ไม่มีความมั่นคงในงาน มีงานศึกษาของ OECD พบว่า สถานการณ์ในตลาดการจ้างงานจะย่ำแย่กว่าวิกฤตการณ์เศรษฐกิจการเงินในปี 2551-2552 มากกว่า 10 เท่าหากมีการระบาดระลอกสองทั่วโลก และ จะทำให้คนอีก 80 ล้านคนว่างงาน อัตราการว่างงานของกลุ่มประเทศ OECD จะเพิ่มขึ้นไปที่ระดับ 10% "ในปีนี้ หากมีการระบาดระลอกสองรุนแรงทั่วโลกอัตราการว่างงานของกลุ่ม OECD อาจทะลุ 12.6% อัตราการว่างงานจะยังอยู่ในระดับสูงในปีหน้ากรณีไม่มีระบาดระลอกสองรุนแรง อัตราการว่างงานจะอยู่ที่ 7.7% ระบาดระลอกสองรุนแรงอยู่ที่ 8.9% การที่กลุ่มประเทศ OECD ซึ่งเป็นคู่ค้าสำคัญของไทยเศรษฐกิจหดตัวและมีการว่างงานสูงมาก ย่อมส่งผลกระทบต่อภาคส่งออกของไทยให้ติดลบต่อไปจากอุปสงค์นำเข้าสินค้าที่จะลดลงอย่างชัดเจนในช่วงไตรมาสสี่และอาจต่อเนื่องถึงปีหน้า ประเทศไทยควรนำระบบ Job Retention Programmes เพื่อรักษาการจ้างงานและกำลังซื้อภายในระบบเศรษฐกิจเอาไว้เช่นเดียวกับประเทศ OECD บางประเทศดำเนินการอยู่"