สมาคมผู้ค้าปลีกไทยชงข้อเสนอนายกฯ เร่งฟื้นเศรษฐกิจ ชู 3 แนวทางหลัก สร้างเอสเอ็มอี สร้างงาน สร้างรายได้ให้รัฐ พร้อมดันไทยสู่ Lifestyle Hub of Asia เสนอแก้นโยบายค่าแรงขั้นต่ำให้สามารถจ้างแรงงานขั้นต่ำเป็นรายชั่วโมงได้ ซี่งจะนำสู่การจ้างงานเพิ่มขึ้น 1.2 ล้านอัตรา รวมทั้งออกนโยบายกระตุ้นการใช้จ่าย ด้วยการนำโครงการช้อปช่วยขาติกลับมาอีกครั้ง เมื่อวันที่ 3 ก.ย.63 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม จัดประชุม workshop กับภาคธุรกิจต่างๆตามแนวทาง “รวมไทยสร้างชาติ” ที่ต้องเปิดโอกาสให้คนที่เก่งที่สุด จากทุกภาคส่วน และจากทุกระดับของสังคม ได้ใช้ความรู้ความสามารถ ทำงานร่วมกัน เพื่อขับเคลื่อนประเทศ โดยมีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ดร.ทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และนายประสงค์ พูนธเนศ ปลัดกระทรวงการคลัง เข้าร่วมรับฟัง ขณะที่ภาคธุรกิจค้าปลีกเสนอภาครัฐควรมีนโยบายส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นสุดยอดการใช้ชีวิตแห่งเอเชีย(Lifestyle hub of Asia”) โดยเสนอมาตรการระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว โดยในส่วนระยะสั้นเพื่อพยุงการจ้างงาน และขับเคลื่อนเอสเอ็มอีให้อยู่รอด เสนอแก้นโยบายค่าแรงขั้นต่ำให้สามารถจ้างแรงงานขั้นต่ำเป็นรายชั่วโมงได้ ซี่งจะนำสู่การจ้างงานเพิ่มขึ้น 1.2 ล้านอัตรา รวมทั้งออกนโยบายกระตุ้นการใช้จ่าย ด้วยการนำโครงการช้อปช่วยขาติออกมาอีกครั้ง และการกระตุ้นกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อสูง โดยลดภาษีนำเข้าชั่วคราวเป็นเวลา 4 เดือนเช่น จาก 30 % เหลือ 10% อีกทั้งเพื่อไม่ให้ร้านค้าปิดกิจการ มีการจ้างงานต่อไปและมีเงินหมุนเวียนในระบบรัฐควรปล่อยซอฟท์โลนโดยอนุญาติให้ผู้ประกอบการสามารถนำหลักฐานใบสัญญาเช่ามาใช้พิจารณาปล่อยกู้ได้ ออกโครงการช้อปและเที่ยวช่วยชาติ และเยียวยาลดค่าใช้จ่ายศูนย์การค้า เช่น ลดค่าไฟ ภาษีนิติบุคคล ภาษีป้าย ยืดเวลาการลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 90% ไปถึงปี 2566 สำหรับแผนระยะกลาง ควรส่งเสริมยกระดับให้ธุรกิจศูนย์การค้าอยู่ในแผนแม่บทของประเทศเปิดพื้นที่เพิ่มโซนการลงทุนให้ศูนย์การค้า เช่นเดียวกับอีอีซี ส่งเสริม seamless connectivity โดยปรับกฏหมาย ทางเชื่อมอาคาร ลดค่าธรรมเนียมเงื่อนไขเชื่อมต่อระบบขนส่งมวลชน ปรับกฎหมายให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตใหม่ เพิ่มสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในธุรกิจศูนย์การค้า ส่วนแผนระยะยาวควรผลักดันให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางระดับโลก เป็นแหล่งช้อปปิ้งของนักท่องเที่ยวชั้นนำ เทียบชั้นญี่ปุ่น เกาหลี ยกระดับสินค้าไทยให้แข่งขันได้ พร้อมทยอยลดภาษีนำเข้าให้ราคาสินค้าแข่งขันกับต่างประเทศได้ นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทยกล่าวว่า ธุรกิจค้าปลีกและบริการเปรียบเสมือนกระดูกสันหลังของประเทศที่มีเส้นเลือดใหญ่คอยกระจายเลือดไปหล่อเลี้ยงระบบและส่วนต่างๆประกอบด้วย เกษตรกร การจ้างงาน การกระจายสินค้า การให้บริการ รวมถึงการท่องเที่ยว สูบฉีดและสร้างเศรษฐกิจมวลรวมของประเทศให้แข็งแรง ดังนั้นถ้าธุรกิจค้าปลีกและบริการแข็งแกร่งจะสามารถนำพาประเทศและยกระดับความเป็นอยู่ของคนไทยทุกระดับตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ดังนั้นการดำเนินงานของสมาคมผู้ค้าปลีกไทยได้ยึดหลักวิสัยทัศน์มุ่งสู่การเป็นสุดยอดการใช้ชีวิตแห่งเอเชีย (Lifestyle Hub of Asia) ด้วยการพัฒนาบุคลากร ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม และสร้างมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจไทยนับแสนล้านผ่าน 3 แกนหลักคือ 1.ผลักดันภาคการค้า ค้าปลีก-ค้าส่ง สู่ระดับเวิลด์คลาส 2.ส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมผลิต ยกระดับสินค้าสู่เวทีโลก 3.บูรณการภาคบริการอย่างครบวงจร(อาหาร สุขภาพ และสันทนาการ)