กลายเป็นประเด็นร้อนเดือดปุดๆ จุดกระแส “ไฟม็อบ” ให้ลุกลามบานปลายได้อย่างไม่น่าเชื่อ สำหรับ การชุมนุมที่มีขึ้นจากฟากสหรัฐอเมริกา ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก รุกประชิดเข้ามายังในหลายประเทศของภูมิภาคยุโรป ด้วยวัตถุประสงค์เพื่อประท้วงต่อมาตรการคุมเข้มของทางการ ที่บังคับให้ประชาชนต้องสวมใส่ “หน้ากาก” ไม่ว่าจะเป็น “หน้ากากผ้า” หรือ “หน้ากากอนามัย” ก็ย่อมได้ทั้งนั้น เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือโควิด-19 ที่กำลังอาละวาดไปในพื้นที่ต่างๆ 213 ประเทศ ทั่วโลก ณ ชั่วโมงนี้ โดยเมื่อเห็นตัวเลขของยอดป่วย ยอดตาย ก็จะไม่ทำให้ทางการของหลายๆ ประเทศ ออกอาการประหวั่นพรั่นพรึงได้อย่างไร เพราะมีจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อสะสมยอดทะลุไปเกือบๆ 26 ล้านคนเข้าไปแล้ว ส่วนผู้ป่วยที่เสียชีวิต ก็มียอดพุ่งทะยานไปมากกว่า 8.5 แสนคนด้วยกัน ซึ่งเมื่อกล่าวถึงสถานการณ์แพร่ระบาด ก็ต้องบอกว่า “โควิด-19” ยังอาละวาดต่อไปอย่างไม่ทีท่าว่าจะหยุดยั้งแต่ประการใด ก็คงต้องรอ “วัคซีน” ที่ทรงประสิทธิภาพในทางป้องกัน และมีความปลอดภัย ไม่มีไซด์เอฟเฟ็กต์ ผลข้างเคียงใดๆ มากนัก สำหรับ ประกายแสงแห่งความหวังทางรอดของโลกเรา จากมหันตภัยไวรัสร้ายมรณะชนิดนี้ อย่างไรก็ดี ในระหว่างนี้ ทางการของนานาประเทศก็ได้มีมาตรการอื่นๆ ในอันที่จะป้องกัน ยับยั้ง เชื้อโรคร้ายไปพลางๆ ก่อน ไล่ไปตั้งแต่ให้ล้างมือด้วยยาฆ่าเชื้อ การให้เว้นระยะห่างทางสังคม หรือโซเชียลดิสแทนซิง และการกำหนดระเบียบข้อบังคับให้ประชาชนต้องสวมหน้ากากผ้า หรือหน้ากากอนามัย เป็นอาทิ อย่างไรก็ตาม บรรดามาตรการข้างต้น ก็กลับสร้างความไม่พอใจอย่างรุนแรงให้บุคคลบางกลุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มคนที่ถูกระบุว่า เป็น กลุ่ม “ขวาจัด (Far-right)” หรือ “ขวาตกขอบ” ซึ่งมีปกติวิสัยต่อต้านกฎระเบียบต่างๆ ของทางการที่ประกาศบังคับใช้ในตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาแล้ว ถึงขนาดจุดพลุ ปลุกกระแส ก่อม็อบออกมาชุมนุมต่อต้านกันเลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มาตรการบังคับให้ประชาชนต้องสวมใส่หน้ากากในยามที่อยู่ตามสถานที่สาธารณะ หรือบางเขต บางพื้นที่ ตามที่ทางการหนดไว้ โดยกลุ่มคนที่มีแนวคิด “ขวาจัด” ดังกล่าว ก็มีอยู่ในหลายพื้นที่แทบจะทุกมุมโลกเรา ไม่ว่าจะเป็นที่สหรัฐฯ และภูมิภาคยุโรป ได้ปลุกกระแสการชุมนุมประท้วงมาตรการข้างต้นขึ้นมา ก่อนเรียกขานนามการประท้วงว่าเป็น “แอนตี-โคโรนา” บ้าง “แอนตี-โควิดฯ” บ้าง พร้อมตีตรา ตราหน้า การออกคำสั่งบังคับใช้มาตรการต่างๆ แก่ประชาชนของทางการว่า เป็น “เผด็จการทางการแพทย์” ยิ่งชวนให้ปลุกประกายไฟแห่งเสรีภาพ เพื่อมาต่อต้านคำสั่งของทางการ ซึ่งการประท้วงแต่ละที่ ปรากฏว่า ผู้ชุมนุมไม่สนใจที่สวมหน้ากากผ้า หรือหน้ากากอนามัย แม้แต่น้อย ตลอดจนไร้แล้วซึ่งการเว้นระยะห่างทางสังคม มีรายงานที่สหรัฐฯ กลุ่มคนพวกนี้ ได้จุดกระแสการชุมนุม เคียงคู่ไปกับการประท้วง เพื่อต่อต้านการเหยียดสีผิว ที่กลายเป็นปรากฏการณ์ม็อบตามเมืองในรัฐต่างๆ เช่น เมืองเซนต์ปอล รัฐมินนิโซตา เป็นต้น ซึ่งถือเป็นหนึ่งในพื้นที่ชุมนุมประท้วงเรื่องการเหยียดสีผิวอย่างรุนแรง ที่บานปลายกลายเป็นการจลาจล ส่วนการชุมนุมประท้วงของทางฟากฝั่งภูมิภาคยุโรป ปรากฏว่า เกิดปรากฏการณ์ม็อบในนครหลวง เมืองเอกของประเทศระดับชั้นนำในภูมิภาค ได้แก่ กรุงลอนดอน เมืองหลวงของอังกฤษ ปรากฏว่า กลุ่มผู้ชุมนุมจำนวนนับพันคน ไปรวมตัวกันที่ “ทราฟัลการ์” อันเป็นจตุรัสใจกลางมหานครอันเลื่องชื่อ โดยกลุ่มผู้ชุมนุมได้เดินขบวนไปตามท้องถนนสายต่างๆ ก่อนมารวมตัวที่จตุรัสดังกล่าว พร้อมตะโกนประณามคำสั่งมาตรการบังคับข้างต้นว่าเป็น “เผด็จการทางการแพทย์” อย่างกึกก้อง ข้ามช่องแคบอังกฤษ มายังประเทศฝรั่งเศส “ปรากฏการณ์แห่งม็อบ” มาอวดโฉมกันที่ “กรุงปารีส” เมืองหลวงของประเทศ ด้วยจำนวนผู้ชุมนุนนับพันคน เช่นเดียวกับที่ “กรุงเบอร์ลิน” เมืองหลวงของ “เยอรมนี” ที่ปรากฏว่า “กลุ่มทางเลือกเพื่อเยอรมนี” อันเป็นกลุ่มแนวคิดแบบขวาจัดในแดนอินทรีเหล็ก เป็นกลุ่มนำการชุมนุมประท้วง จนมีผู้ชุมนุมหลายพันคน ก่อนที่ชาวม็อบ จะพยายามบุกเข้าไปใน “ไรช์สทาก” ซึ่งก็คือ “อาคารรัฐสภา” นั่นเอง วัตถุประสงค์ก็คือ บุกจู่โจมสู่สัญลักษณ์ที่ได้รับการขนานนามว่า เป็น “ศูนย์กลางประชาธิปไตยของเยอรมนี” ทว่า ได้เกิดการปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชน ที่มารักษาการณ์ โดยมีรายงานกลุ่มผู้ชุมนุมได้ขว้างปาก้อนหิน และขวดน้ำ เข้าใส่ จนถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมไปหลายคน นอกจากนี้ ก็ยังมีที่เมืองซูริค ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ปรากฏว่า กลุ่มขวาจัดก็ได้จัดตั้งม็อบจำนวนเรือนพัน ต่อต้านมาตรการบังคับให้ประชาชนสวมหน้ากากกันอีกด้วย ท่ามกลางวิตกกังวลจากเหล่าผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขที่หวั่นเกรงว่า การชุมนุมต่อต้านมาตรการดังกล่าว จะยิ่งทำให้สถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดฯ ทวีความเลวร้าย เพราะบรรดาประเทศที่จุดไฟม็อบเหล่านี้ ก็มียอดป่วยและยอดตายจากไวรัสมรณะชนิดนี้ มากมายมหาศาลติดอันดับต้นๆ ของโลกเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว