28 ส.ค. 2563 นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เฟชบุ๊คไลฟ์ peace talk ผ่านเพจเฟซบุ๊ก Peace News ประกาศท่าทีในสถานการณ์เรียกร้องแก้ไข รธน. 2560 ผ่าน ม.256 เปิดช่องประชาชนเลือก สสร. ว่า ถ้า ม.256 ถูกเบี้ยว วันนั้นจะถึงคิวต่อสู้เพื่อให้เกิด รธน.ประชาชนที่เป็นจริง นายจตุพร กล่าวถึงคำว่ารบแพ้รบชนะว่า มีนัยสำคัญต่อการเคลื่อนไหวทางการเมืองขณะนี้ เพราะหลายปีผ่านมา คนเสื้อแดงอยู่ในสมรภูมิการต่อสู้ที่ไร้เส้น ไม่มีตัวช่วยสิ้นเชิง แม้กว่า 15 ปีมานั้น เรารู้ว่าแพ้ แต่เราสู้มาตลอดทั้งที่ถูกแดกดัน ประชดเหยียดหยาม ถูกเรียกเป็นควายแดง ผลอย่างเดียวของการต่อสู้ที่ผ่านมา อดีต ส.ส.เพื่อไทยได้ร่วมเป็นร่วมตายเคียงข้าง นปช. กับมวลชนเสื้อแดง ถูกจับกุม และมีคดีติดคุกกันมากมาย จึงกล่าวได้ว่า การออกแรงต่อสู้ร่วมกัน เราชนะในสนามประชาชน แต่แพ้ราบคาบในสนามอื่น แล้วเกิดเป็นบทเรียนจดจำมากมาย "หลายคนวิจารณ์ว่า (การต่อสู้ครั้งนี้) กลัวที่จะติดคุก บางเหน็บแนมว่าแก่แล้ว หมดยุคแล้ว แต่ผมจะบอกว่าที่ผ่านมานั้น ไม่มีสนามใดเลยที่จะย่อท้อ จะไม่ต่อสู้ เราเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายในทุกสนาม เข้าออกคุก คดียังไม่จบ มีพี่น้องตายและติดคุกจำนวนมาก แต่เรายังยืนหยัดอยู่ แม้หลายคนดูถูกว่า ใจไม่ถึง ใจไม่ทะลุเพดานก็ตาม” ส่วนในสถานการณ์การแก้ รธน.ครั้งนี้มีความละเอียดอ่อนยิ่ง แม้สมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช พรรคพลังประชาชน สมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แล้วมาถึงยุคพรรคเพื่อไทย สมัย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งทุกสมัยนั้นมีจำนวนเสียง ส.ส.เพียงพอต่อการแก้ รธน. แต่กลับแพ้ในสนามอื่น ทั้งที่โหวตในสภาผ่านอย่างเรียบร้อย แต่อำนาจนอกสภากลับทำให้เปลี่ยนแนวทางใหม่ มาแก้เป็นรายมาตราแทน อีกทั้ง ย้ำว่า ปัญหาในช่วงรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ มุ่งมั่นแก้ไข รธน. 50 ในช่องทางตั้ง สสร.มายกร่าง รธน.ใหม่ มุ่งหมายแก้ที่มาเลือกตั้ง ต้องการแก้ที่มา ส.ว. จากการสรรหาขององค์กรอิสระให้มาเป็นประชาชนเลือกตั้ง ซึ่งเป็นเหมือนในสถานการณ์ขณะนี้ "ที่ผมบอกว่า ชนะในสนามประชาชนเบ็ดเสร็จ แต่ไปตายในสนามองค์กรอิสระ แม้จะได้มากี่เสียงก็ตาม แต่ไปเสร็จคน 9 คนทุกคราวไป วันนี้ผมเชื่อว่า แต่ละฝ่ายต่างเดินด้วยความระมัดระวัง เพราะรู้ถึงมหันตภัยของ รธน.60 ซึ่งเป็นอุปสรรคขัดขวางกับการพัฒนาประเทศและประชาธิปไตย” นายจตุพร ยืนยันว่า การแก้ รธน.วันนี้ ตนไม่ต้องการเป็นอุปสรรคขัดขวางใดๆ ยังสนับสนุนข้อเรียกร้องของคนหนุ่มสาว 3 ข้อ 2 จุดยืน และ 1 ความฝัน แต่พรรคการเมืองต้องทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา และเป็นสุภาพบุรุษต่อกัน ถ้าคิดเหลี่ยมคูทางการเมืองแล้ว การต่อสู้นี้ไม่มีวันชนะ โดยไม่เกี่ยวกับความโง่ หรือฉลาดกว่ากัน ตนเห็นใจพรรคเพื่อไทยและพรรคฝ่ายค้านร่วม เพราะเมื่อพรรคก้าวไกลเห็นชอบในที่ประชุมพรรคร่วมให้แก้ ม.256 เว้นหมวด 1 และ 2 จนมีการลงชื่อเพื่อยื่นญัตติแก้ไข รธน. เข้าสภา แต่กลับลำมาถอนชื่อออกไปในช่วงไม่กี่นาที โดยอ้างไม่เห็นด้วยกับการยกเว้น หมวด 1 และ 2 ทำให้พรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมฝ่ายค้านเสียหาย อีกทั้ง พรรคเพื่อไทยต้องถูกกระทืบซ้ำอีก เมื่อไม่เห็นด้วยกับการปิดสวิตซ์ ส.ว. พลังมวลชนเล่นงานกันหนักหน่วง ต้องเสียคนเสียหน้าครั้งใหญ่จากเสียงวิจารณ์ในคำพูดรู้ว่าจะรบแพ้ แล้วรบไปทำไม ทั้งที่คำพูดนั้น เป็นการสะท้อนถึงปัญหาจำนวนเสียงในการลงมติแก้ รธน.ที่ถูกล็อกด้วยเสียงสองสภาเกินครึ่ง แล้วยังถูกบังคับให้ต้องมี สว.อีก 84 เสียงลงมติผ่านด้วย “เมื่อหนทางเดินให้แก้ รธน.ประสบความสำเร็จ ผมเห็นว่า อย่าหาเศษหาเลยกัน และไม่กลัวกองทัพไซเบอร์มาถล่ม เพราะข้อเท็จจริงเป็นแบบนี้ ถ้านักต่อสู้มีพฤติกรรมแบบนี้ ผมไม่ชอบเลยจริงๆ เมื่อคุณไม่เห็นด้วยกับการแก้ หมวด 1 และ 2 คุณต้องไม่เซ็นชื่อ แต่เมื่อกำลังจะยื่นไม่กี่นาทีข้างหน้ากลับไปถอนรายชื่อ ทั้งที่หนังสือร่างญัตติมีมาก่อนแล้ว ซึ่งไม่แฟร์กับขบวนการต่อสู้เหมือนกัน” นายจตุพร กล่าวว่า การต่อสู้เพื่อให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย ได้ รธน.ที่เป็นประชาธิปไตยนั้น เป็นปลายทางที่เราเดินมายาวนาน แม้ได้ชัยชนะในทางประชาชน แต่แพ้ราบคาบกับองค์กรนอกเหนือมาตลอด ไม่ใช่เราไม่สู้ แต่เราสู้ทุกอย่างที่รู้ว่าต้องสู้ ทั้งที่รู้ว่าแพ้ยังเดินเข้าสู่สนามคิลลิ่งโซน เราก็ยังเข้า โดยหวังว่า เผื่อมีโอกาสชนะ ซึ่งจะเป็นศูนย์หรือหนึ่งเปอร์เซ็น เราผ่านสถานการณ์อย่างนี้มาตลอด ดังนั้น การเดินทางต่อไปนี้ต้องแฟร์กัน อีกอย่าง การเรียกร้องให้ สว.ลาออกในเดือนกันยายนนั้น นายจตุพร ถามว่า มีใครเชื่อบ้างว่า สว.จะลาออก ซึ่งคนหนุ่มสาวมีสิทธิ์เรียกร้องไม่มี สว.ในสิ้นกันยานี้ แต่ไปถามดูว่าน้ำหน้า 250 สว.จะลาออกหรือไม่ อีกอย่างเมื่อขีดเส้นตายแล้ว จำเป็นต้องยกระดับการชุมนุมกดดัน ส่วนการปิดสวิตซ์ สว.นั้น ตนไม่ได้วิตกเลยกับการโหวตเลือกนายกฯ เพราะถ้ายุบสภาแล้วพรรคฝ่ายค้านปัจจุบันรวมตัวกันได้เกิน 251 เสียงแล้ว สว. 250 เสียงไม่มีความหมายใดๆ และถ้ากล้าไปสมคบกับเสียงข้างน้อยตั้งนายกฯ บ้านเมืองจะพังหนักยิ่งกว่านี้อีก ตนเชื่อว่า สถานการณ์แบบนี้ สว.รู้ว่าถ้ายุบสภาแล้วจะเกิดอะไรขึ้น "ผมจึงพยายามอธิบายว่า คนปิดสวิตซ์ สว.ต้องเป็นประชาชนชน เพราะเขา (ส.ว.) ไม่มีวันจะปิดสวิตซ์ตัวเอง ผมเคารพการตัดสินของคนหนุ่มสาว ผมเคยสู้กันมาแบบวัยแบบนี้” รวมทั้ง กล่าวว่า วันนี้การแก้ รธน.เป็นประตูสำคัญ ถ้าเราต้องการเป้าหมาย ซึ่งเชื่อว่า คงไม่ชักช้า และเมื่อมี สสร.แล้ว จะเป็นช่วงการพิจารณาร่าง รธน. และจะเป็นการตื่นตัวของคนไทยมากที่สุด เมื่อเราต้องการฉบับประชาชน ถ้าให้นักการเมืองปิดสวิตซ์ ถามว่าปิดได้หรือเปล่า ขณะนี้ อะไรก็ตามที่ทุกฝ่ายชนะกันได้ โดยไม่ต้องรบนั้น จะเป็นสิ่งประเสริฐยิ่ง ซึ่งยากกับประเทศไทย ดังนั้น การเดินต้องด้วยความชอบธรรม และแก้ไข ม.256 คือความชอบธรรม พร้อมทั้งยังผูกมัดรัฐบาลเพราะนโยบายแถลงกับสภามาแล้ว พรรคร่วมรัฐบาลยังแถลงช่วงหาเสียงไว้เช่นเดียวกัน “ผมบอกเลยว่า ทันทีมีการเบี้ยวกันในการแก้ ม.256 การมีเรื่องก็มีความชอบธรรม ถ้าไม่เบี้ยวก็เดินหน้าต่อ ถ้าเบี้ยวก็จบเกม ปิดการขาย วันนั้นไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นแล้ว ถ้าเดินไปถึงจุดนี้ ผมจึงบอกกับพี่น้องว่า ท่วงทำนองการต่อสู้ สิ่งสำคัญที่สุดในสนามที่มีความเป็นความตายนั้น ต้องซื่อสัตย์ต่อกันเพราะระหว่างทาง (ต่อสู้) ไม่รู้จะตายวันไหน” นายจตุพร กล่าวว่า การต่อสู้คราวนี้ ตนต้องคิดอย่างละเอียด และอย่างที่เคยบอกว่า ถ้าเชื่อมั่นว่า ข้างนอกกดดันปิดสวิตซ์ สว.ได้จริง คุณต้องร่วมรับผิดชอบกับคนหนุ่มสาว ต้องไปถือธงนำร่วม ถูกคดีอะไรก็เหมือน และเหมือนพวกตนที่ทำมาก่อนจนมีคดียาวเป็นห่างวาว นี่คือความรับผิดชอบ แต่ตนไม่มีวันขอแรงมวลชนเพื่อมาสนับสนุน โดยที่ตัวเองไม่ต้องออกแรงเลย "ถ้าคุณประกาศพร้อมมีความเชื่อแบบนี้ อย่ากินแรงเด็กต้องนำหน้า หรือเคียงข้างเขา ในการต่อสู้มีความเป็นความตายต้องร่วมเป็นชะตากรรมเดียวกัน หลายคนถามว่า แล้วจตุพร เป็นไง ผมจะบอกว่ารอจนกระทั่งวันที่เขาเบี้ยวก็แล้วกัน" นายจตุพร กล่าวว่า รธน.ฉบับนี้ รอให้ถูกฉีก แต่มีช่องทางเดียวที่จะแก้ไขได้ คือฝ่ายรัฐบาล ซึ่งขณะนี้ถอยไม่ออกเช่นกัน และขบวนการเยาวชน คนหนุ่มสาวเป็นพลังสำคัญที่จะกดดัน แต่ต้องเข้าใจความเขี้ยวลากดินของนักการเมืองไทยด้วย ไม่เช่นนั้น เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 35 คงไม่เกิดขึ้น ดังนั้น สิ่งสำคัญที่สุดในเวลานี้ คือ เป้าหมายที่เป็นจริง อีกอย่างการต่อสู้หลายเรื่องผ่านมา ได้ผ่านการพิสูจน์ใจถึง ไม่ถึงกันมาแล้ว และมีตอนไหนที่บอกว่า ใจไม่ถึงกันบ้าง แต่เมื่อมีช่องทางเล็กๆที่จะแก้ไขได้ แม้ไม่เชื่อว่าจะแก้ไขได้สำเร็จเป็นจริงก็ตาม แต่ฝ่าย ประชาธิปไตยต้องพยายามบีบรัด "ถ้าปรากฎว่าวันหนึ่งเขาหักหลังชัดเจน อย่างที่ผมบอกว่า วันหนึ่งเบี้ยวมาตรา 256 วันนั้น ผมเชื่อว่า อะไรก็เอาไม่อยู่แล้ว เพราะสถานการณ์อื่นอยู่ในสภาวะแวดล้อมกระชับกันมาตามลำดับ ผมเองประเมินแต่ละตอน และแฟร์ในการต่อสู้ พูดอย่างตรงไปตรงมา การต่อสู้ต้องมีเกียรติยศต่อกัน ท่วงทำนอง เล่ห์เหลี่ยมทางการเมืองและอ่านสามก๊กหลายรอบ มาใช้กับมิตรไม่ได้” สิ่งสำคัญที่สุดนั้นคือ เราต้องการอะไร ถ้าต้องการแก้ รธน.จริง นี่คือเส้นทางเดียวที่มีโอกาสเป็นไปได้ มีคนหนุ่มสาวกดดันได้ทำอย่างเต็มที่ เหมือนพวกตนเคลื่อนไหวสองขาทำกันทั้งแผ่นดิน ตนมีความหวังว่า การได้ รธน.ทั้งฉบับโดยประชาชนนั้น จะมีความศักดิ์สิทธิ์มากกว่านักการเมือง จึงต้องให้ประชาชนลงมือปิดสวิตซ์ ไม่ใช่หน้าที่ของนักการเมือง “วันนี้ ต้องเชื่อใจประชาชน และถ้าขบวนการแก้ไข รธน.เชื่อใจประชาชนต้องเดิน ม.256 ให้สุดทาง ให้มี สสร.เกิดขึ้นจากการเลือกตั้ง รัฐปล่อยให้รณรงค์เสรีภาพ เราจะได้ รธน. แข็งแรงและเป็นประชาธิปไตยดีที่สุดตั้งแต่ประเทศไทยเคยมีมาก็ว่าได้” นายจตุพร ยืนยันว่า วันนี้ ต้องขอบคุณคนหนุ่มสาวทั้งหลาย พร้อมมีช้างเผือกเกิดขึ้นมาเต็มแผ่นดิน ตนเชื่อว่าการต่อสู้ของเขามีพลัง ยังมีความหวัง อีกอย่างตนเชื่อว่า ต้องคืนอำนาจแก้ไข รธน.ให้ประชาชนอย่างเบ็ดเสร็จ ตนไม่เชื่อใจนักการเมืองจะปิดสวิตซ์ได้ เพราะนักการเมืองไม่ศักดิ์สิทธิ์เท่ากับประชาชน พร้อมเรียกร้องว่า ขอจงเชื่อใจประชาชน ให้แก้ ม.256 ให้ได้ สสร.นั่นคือทางออกทางเดียวที่เป็นจริง ส่วนใครคิดว่า ใจไม่ถึงก็ทำไปเลยตามสบาย ตนบอกว่า ใครเชื่ออย่างไร ลงมาเลย ถ้าเชื่อว่าต้องใช้ขบวนการคนหนุ่มสาว คุณอย่ากินแรงเด็ก ลงมาร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่กับเขา รับชะตากรรมอย่างเท่าเทียม และต่อสู้ตามความเชื่อ "(ส่วน) ของผม รอวันที่เบี้ยว ก็ได้เวลาผม พูดง่ายๆว่า วันไหนเบี้ยว 256 วันนั้นก็เจอกับผม ดังนั้น ผมมีวิธีคิดของผม เพราะเดินมาก่อน ผมเห็นปัญหา (ต่อเนื่อง) ผมรอในสงครามที่ผมกำหนดเอง แต่ผมไม่เข้าสงครามในส่วนที่ผมไม่ได้กำหนดอีก ครั้งต่อไปนั้น เพื่อให้ได้ รธน.ที่เป็นจริง ผมรอวันที่มีการหักกันในมาตรา 256 วันนั้นก็จะได้คิวผม"