จากกรณีการเสียชีวิตของนางสาวพรพิพัฒน์ เอียดดำ หรือน้องมิ้นท์ นักศึกษาชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎภูเก็ต หลังถูกรุ่นพี่สั่งลงโทษให้วิ่งบริเวณลานจอดรถหน้าอาคารเทคโนโลยีอุตสาหกรรม ภายในมหาวิทยาลัยฯ จนเกิดอาการช็อกหมดสติ และเสียชีวิตในเวลาต่อมา ทั้งนี้หลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการสอบปากคำนักศึกษาทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้อง รวม 10 ปาก ก่อนออกหมายเรียก รุ่นพี่ที่เป็นหัวหน้าควบคุมการฝึกซ้อม ตามพยานหลักฐานที่มีในเบื้องต้น ความคืบหน้าล่าสุดช่วงเช้าวันนี้ (24 ส.ค.) ที่ สภ.เมืองภูเก็ต อ.เมือง จ.ภูเก็ต ผู้ปกครองของนักศึกษารุ่นพี่เชียร์ลีดเดอร์ ปี 2 หัวหน้าคุมการฝึกซ้อม มีการออกหมายเรียกไปเมื่อวานนี้ (23 ส.ค.) พร้อมอาจารย์ที่ปรึกษาและทนายความ ได้นำตัวนักศึกษาฯ เข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา โดยไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนทำข่าวแต่อย่างใด ซึ่งแต่ละคนอยู่ในอาการที่เคร่งเครียด โดยเฉพาะตัวนักศึกษารุ่นพี่ผู้ถูกกล่าวหา ขณะที่ พ.ต.อ.ธีรวัฒน์ เลี่ยมสุวรรณ ผกก.สภ.เมืองภูเก็ต กล่าวถึงความคืบหน้าของคดีดังกล่าว ว่า ขณะนี้ได้มีการสอบปากคำพยาน ซึ่งเป็นทั้งฝ่ายผู้เสียหาย ฝ่ายพ่อและญาติที่มาแจ้งความดำเนินคดี และฝ่ายอาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์ประจำคณะ และกลุ่มนักศึกษาที่ฝึกซ้อมเชียร์ลีดเดอร์ในวันเกินเหตุ รวมแล้วประมาณ 15 ปาก ตลอดจนรุ่นพี่ที่อยู่ในข่ายจำนวน 4 คนด้วย ทั้งนี้ได้มีการสอบปากคำเบื้องต้นไปตั้งแต่วันแรกที่มีการแจ้งความ ซึ่งจากการสอบปากคำพยานระบุว่า มีนักศึกษา 1 คนที่เข้าข่ายว่าทำผิด เข้าข่ายว่ากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 10ปี ปรับไม่เกิน 20,000 บาท และจากการสอบปากคำรุ่นพี่คนดังกล่าวก็ให้การยอมรับว่าเป็นผู้สั่งให้น้องวิ่ง เพราะมีการตกลงกันว่า หากเต้นไม่พร้อมกันก็จะถูกลงโทษด้วยการวิ่งบริเวณลานจอดรถ หน้าอาคารเทคโนโลยีอุตสาหกรรมระยะทางรวมแล้วประมาณ 200 เมตร ซึ่งก็วิ่งพร้อมกันหลังจากซ้อมเสร็จ จำนวน 8 รอบ แต่วิ่งไปได้ประมาณ 6 รอบเศษน้องนักศึกษาก็ล้มหมดสติ “ส่วนของผลการชันสูตรศพนั้นขณะนี้ยังรอผลการตรวจเนื้อเยื่อชิ้นเนื้อจากนิติวิทยา เบื้องต้นจากที่ได้พูดแพทย์นิติเวช ทราบว่า น้องที่เสียชีวิตหมดสติและหัวใจหยุดเต้นก่อนจะถึงโรงพยาบาล และปั้มหัวใจขึ้นมา ก่อนจะมาเสียชีวิตในวันรุ่งขึ้น เนื่องจากภาวะหัวใจล้มเหลว เพราะไม่มีร่องรอยบาดแผลใดๆ ยกเว้นรอยถลอกบริเวณขา อาจเนื่องมาจากช่วงที่ล้มลงหรือระหว่างการนำส่งโรงพยาบาลซึ่งไปด้วยรถจักรยานยนต์ โดยผลตรวจที่ชัดเจนจากทางแพทย์จะเป็นส่วนประกอบหลักฐานสำคัญ แต่การแจ้งข้อกล่าวในเบื้องต้นนั้นเป็นไปตามพยานบุคคลแวดล้อม ขั้นตอนต่อจากนี้ต้องรอผลการตรวจชันสูตรจากแพทย์มายืนยันอีกครั้ง และถือเป็นหลักฐานสำคัญมากในสำนวน นอกจากนี้จะต้องมีการสอบพยานที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมในส่วนของอาจารย์ ซึ่งได้มีการสอบไปแล้ว 2 ปาก รวมถึงรอผลการตรวจอย่างเป็นทางการอีกครั้ง จึงจะสรุปสำนวนได้ และให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย” พ.ต.อ.ธีรวัฒน์ กล่าวว่า ในส่วนที่ว่าจะมีการดำเนินคดีกับอาจารย์ด้วยหรือไม่นั้น จะต้องมาดูในเรื่องของกฎและระเบียบของมหาวิทยาลัยด้วยว่ามีข้อกำหนอะไรในการจัดกิจกรรมต่างๆ รวมถึงมาตรการในการดูแลความปลอดภัย และการเตรียมความพร้อมรองรับหากเกิดเหตุที่ไม่คาดคิดขึ้น เพราะระยะทางจากจุดเกิดเหตุในมหาวิทยาลัยกับโรงพยาบาลวชิระก็มีระยะทางไกลพอสมควร ประมาณ 5 กิโลเมตร ซึ่งหากได้รับการรักษาอย่างทันท่วงน้องอาจจะไม่ถึงขั้นเสียชีวิต ส่วนของกล้องวงจรปิดในที่เกิดเหตุนั้นมีในตัวอาคารไม่สามารถที่จะมองเห็นนอกอาคาร ซึ่งทำให้เห็นว่ามีนักศึกษาคนไหนอยู่ในอาคารบ้าง และพบว่าในช่วงเวลาเกิดเหตุ (วิ่ง) รุ่นพี่อีก 3 คนอยู่ในตัวอาคารจริง ส่วนรุ่นพี่ที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหาอยู่ด้านนอกอาคาร