แพ็คกระเป๋าหอบกระติบข้าวกลับประเทศ ถือเป็นซวยซ้ำสอง ผู้เฒ่าชาวลาว อาเจียนเป็นเลือด มาตายที่เมืองไทย เมียและลูกโดนด้วย เผยต้องหนีหนี้โดนยึดบ้านที่บ้านเกิดประเทศลาวหวังบ่าหน้ามาทำงานที่เมืองไทย พ่อบอกจะตายอายุ 61 ปีก็มาตายจริงๆ พอผัวตายถูก ตร.ตม.อุดรธานีจับส่งผลักดันกลับประเทศ วันนี้ (19 ส.ค.63) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีพบนายคำปุ่น พิมผาดี อายุ 61 ปี และนางหม่อง พิมผาดี อายุ 58 ปี ราษฎรบ้านควายแดง สปป.ลาว นั่งเรือข้ามฝั่งมาขึ้นฝั่ง อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย เข้ามาเยี่ยม นางลาโด้ พิมผาดี อายุ 30 ปี ลูกสาวซึ่งแต่งงานกับชาวบ้านหนองลาด ต.หนองเม็ก อ.หนองหาน จ.อุดรธานี เมื่อต้นเดือนสิงหาคม แต่นายคำปุ่นอาเจียนเป็นเลือดเสียชีวิตกระทันหัน โดยไม่ทราบสาเหตุ ทำให้ชาวบ้านผวา คิดว่านายคำปุ่นติดเชื้อโควิด-19 เพราะลักลอบเข้าเมือง ไม่ผ่านการคัดกรอง ซึ่งเจ้าหน้าที่ต้องเข้ากันพื้นที่และนำศพไปตรวจหาเชื้อ ผลปรากฏว่าไม่มีเชื้อไวรัสโควิด 19 แต่อย่างใดเหตุเกิดเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น วันนี้ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง จ.อุดรธานี พ.ต.อ.พิชญ์วุฒิ สงวนสมบัติศิริ รอง ผบก.บก.ตม.4 ในฐานะ โฆษก บก.ตม.4 สั่งการให้ พ.ต.ท.วชิราธร ภุมรินทร์ สว.ตม.จ.อุดรธานี เข้าไปดำเนินการตรวจสอบและควบคุมตัวนางหม่อง พิมผาดี และนางลาโด้ พิมผาดี ภรรยาและบุตรผู้เสียชีวิต ซึ่งมีสัญชาติลาว ตาม พรบ.คนเข้าเมือง โดยร่วมกับคณะกรรมการควบคุมโรค นำตัวส่ง ร.ต.อ.คงศักดิ์ คำสะอาด รอง สว.(สอบสวน) ตม.อุดรธานี ทำการสอบสวนตรวจคนเข้าเมืองอุดรธานี จากการสอบสวน นางลาโด้ ลูกสาวผู้ตาย ให้การว่า อยู่กินกับสามีคนไทยชาวหนองลาด ต.หนองเม็ก อ.หนองหาน จ.อุดรธานี ได้ประมาณ 10 ปี สามีไปทำงานรับเหมาก่อสร้างที่กรุงเทพฯ ส่วนตนเป็นแม่บ้านดูแลลูก 2 คน ต่อมาสามีป่วยโรคไตจึงพากันกลับมาบ้านที่ จ.อุดรธานี และสามีได้เสียชีวิต เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2563 หลังสามีตาย ตนก็ได้ไปอาศัยอยู่กับน้องสาวของสามี เพราะญาติสามีสงสารและช่วยเลี้ยงดูหลานทั้งสองคน 2 คน โดยตนทำงานรับจ้างทั่วไป เมื่อต้นเดือนสิงหาคม พ่อและแม่ ได้ข้ามมาอยู่กับตน เพราะถูกนายทุนยึดบ้านไม่มีที่อยู่อาศัย ตนไม่รู้ว่าพ่อป่วยเป็นวัณโรค แต่รู้เพียงว่าพ่อป่วยเป็นเบาหวาน ส่วนแม่เคยป่วยเป็นวัณโรคแต่รักษาหายแล้ว หลังจากมาอยู่ได้ 2 สัปดาห์ พ่อก็มาเสียชีวิต ซึ่งพ่อเคยบ่นประจำว่า“พ่อจะตายตอนอายุ 61 ปี“ และพ่อก็ตายจริงๆ ซึ่งหลังจากกลับไปที่ สปป.ลาว ก็จะไปอาศัยอยู่กับญาติ และก็จะไปทำหนังสือเดินทางเข้ามาอย่างถูกต้อง เพื่อกลับมาหาลูกทั้งสองคน ส่วนนางหม่อง ภรรยาผู้ตาย ให้การว่า ตนและผู้ตายเป็นหนี้นายทุน 2 ล้านบาท ไม่มีเงินใช้หนี้ จึงถูกยึดบ้านไม่มีที่อยู่ จึงได้โทรมาปรึกษาลูกสาวที่อยู่ฝั่งไทย ลูกได้ชวนมาอยู่ด้วยกัน มาช่วยเลี้ยงหลาน ตนจึงจ้างเรือข้ามฝากมาคนละ 1,000 บาท ขึ้นฝั่งที่ อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย เหมารถตู้ 2 คน 1,500 บาท มาส่งที่บ้านลูกสาว โดยไม่รู้ว่าผู้ตายป่วยเป็นวัณโรค ส่วนผู้ตายก็ไม่รู้ตัวว่าป่วยเป็นวัณโรค ซึ่งอาจจะติดมาจากตน กระทั่งอาเจียนและเสียชีวิตทันที ทางด้าน ร.ต.อ.คงศักดิ์ คำสะอาด รอง สว.(สอบสวน) ตม.อุดรธานี ชี้แจงว่า หลังจากสอบปากคำเบื้องต้น ได้แจ้งข้อหา “เป็นบุคคลต่างด้าวและอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต” หลังจากนั้นนำตัวเมียกับลูกไปตรวจร่างกาย เพื่อที่จะได้ขอใบรับรองแพทย์ และนำเอาใบรับรองแพทย์ไปยื่นขอที่สถานฑูตลาวเพื่ออกใบผ่านแดนให้กับทั้งสองคนใช้ในการผลักดันกลับไปประเทศ โดยระหว่างที่รอเอกสารเจ้าหน้าที่จะควบคุมตัวไว้ที่ สภ.เมืองอุดรธานี ระยะเวลาคาดว่าน่าประมาณ 2-3 วัน หลังจากได้เอกสารมาเรียบร้อยก็ผลักดันกลับประเทศต่อไป แต่หากอยากเข้ามาเมืองไทยก็ต้องทำให้ถูกต้องไปทำหนังสือเดินทางหรือพาสปอร์ตหรือเดินทางเข้ามาอย่างถูกต้องก็ก็สามารถเข้ามาได้