นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า กล่าวว่า ตามที่ประเทศไทย ประกาศตัวเลข GDP ไตรมาส 2 ติดลบ 12.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันเมื่อปีก่อน ซึ่งทำให้ตัวเลขทั้งปีอาจติดลบ 7-9% ทั้งนี้ เมื่อเทียบกับเศรษฐกิจในประเทศใหญ่ในช่วงเดียวกันเมื่อปีที่ผ่านมา อย่าง อเมริกา -32.9 ญี่ปุ่น -27.8 อังกฤษ -21.7% จีน +3.2% ในขณะที่เมื่อลองเทียบเศรษฐกิจเพื่อนบ้าน เช่น สิงคโปร์ -13.2% มาเลเซีย -17.1 % ฟิลิปปินส์ -16.5% อินโดนิเซีย -5.32% เวียดนาม +0.36% (ได้อานิสงส์มาจากประเทศจีนโดยตรง) ซึ่งจากตัวเลขเปรียบเทียบกับหลายๆ ประเทศจะเหมือนว่า อาการของเมืองไทยยังไม่ป่วยหนัก แต่ถ้าดูในเชิงลึกแล้ว จากปกติช่วงไตรมาส 2 ปกติจะเป็นโลว์ซีซั่น ของการท่องเที่ยว ดังนั้นจึงยังไม่ส่งผลทางลบกับเศรษฐกิจเท่ากับไตรมาสอื่น ทั้งนี้ นายกรณ์ กล่าวว่า คำถามที่สำคัญหลังจากนี้ คือ ปีนี้จะมีการท่องเที่ยวจากต่างประเทศหรือไม่ หากไม่ ผลกระทบต่อ GDP จะแรงกว่าไตรมาส 2 ที่ผ่านมาอย่างแน่นอน อีกสาเหตุหนึ่งที่การปรับลดลงของไทย ยังไม่แรงเหมือนหลายประเทศ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยไม่ดีมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ทำให้ฐานเปรียบเทียบค่อนข้างต่ำ (GDP ปี 2562โตเพียง 2.4% ) ดังนั้นจากนี้ไป ทางทีมเศรษฐกิจใหม่ของรัฐบาลต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่น และต้องกระตุ้นเศรษฐกิจใน 4 เรื่องสำคัญทันที ไม่เช่นนั้น พิษบาดแผลทางเศรษฐกิจอาจลุกลามจนประเทศโคม่าได้ โดย 4 เรื่องสำคัญประกอบด้วย 1. ผ่าตัดงบประมาณรัฐ โดยนายกรณ์ กล่าวต่อว่า หากตนเองเป็นรัฐบาล จะรื้อแผนการใช้เงิน พรก. ทั้งสามฉบับ เพื่อให้วงเงินรวม 1.9 ล้านล้านบาทเข้าสู่ระบบ ซึ่งหมายถึง ทำให้เงินอยู่ในมือประชาชน อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด ตรงที่สุด และเร็วที่สุด โดยจะใช้เงินส่วนที่เหลือให้ผู้เดือดร้อนโดยตรง เจาะไปที่กลุ่มแรงงานภาคท่องเที่ยวและบริการ ประชาชนที่ตกงาน ประชาชนกลุ่มเปราะบาง (ผู้สูงอายุ แม่ลูกอ่อน คนพิการ เป็นต้น) นอกจากนี้จะอัดเม็ดเงินช่วยเหลือทั้งทางตรง และวงเงินกู้ด่วนแก่กลุ่มธุรกิจผู้ประกอบการรายย่อย ( SME) พร้อมมีมาตรการลดภาระค่าใช้จ่าย (เงินเดือน ค่าเช่า ดอกเบี้ย) รวมถึงต้องปรับเกณฑ์แบงก์ชาติให้ SME เข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้จริง เพิ่มความเชื่อมั่นโดยการเปลี่ยนจากเงินกู้เป็นเงินลงทุน และปรับการใช้เงินกู้ 400,000 ล้านบาทใหม่ทั้งหมด เพราะที่เหลืออยู่ส่วนใหญ่เป็นโครงการจิปาถะ ใช้เงินไม่ตรงจุด เบิกจ่ายล่าช้า ขัดกับเป้าหมายการกู้แต่แรก อัดฉีดเงินฉุกเฉินไม่เข้าเป้า 2. ฉีดยาแรง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก เนื่องจากไทยยังต้องพึ่งพาการค้าการลงทุนกับต่างประเทศได้ยากในช่วงที่ทั้งโลกยังถดถอย ดังนั้นจึงต้องเน้นโครงการพึ่งพาตัวเอง เช่น โรงไฟฟ้าชุมชนที่รัฐบาลลังเลมายาวนาน โครงการนี้เปิดโอกาสให้มีการกระจายการผลิตไปที่ผู้ประกอบการรายเล็กทั่วประเทศ เป็นการเสริมความมั่นคงทางพลังงาน และที่สำคัญเป็นแหล่งรายได้ยั่งยืนให้กับเกษตรกร การเร่งช่วยประชาชนที่ต้องนึกเสมอว่า นโยบายที่ดีจะต้องเป็นกุศโลบายที่ยิงกระสุนนัดเดียว ช่วยคนได้หลายกลุ่ม ในเรื่องนี้ทางทีมเศรษฐกิจใหม่ควรถือโอกาสทบทวนปัญหาการทำมาหากิน ของคนไทยหลากหลายอาชีพ เนื่องจากนโยบาย และข้อกฎหมายของรัฐบาลในอดีต ไม่ว่าจะเป็นประมงชายฝั่ง ผู้ค้า Street food สุราพื้นบ้าน ฯลฯ เหล่านี้ถูกจำกัดด้วยกฎหมายล้าสมัย ซึ่งหากกฎหมายทันสมัยเพียงพอ ประชาชนจะมีช่องทางทำกินเพิ่มขึ้นอีกมาก 3. สร้างภูมิต้านทาน ในการดำรงชีวิต จัดสวัสดิการดูแลประชาชนอย่างเป็นระบบ ทั้งนี้เพราะสภาวะเศรษฐกิจฝืดเคืองมีแนวโน้มจะอยู่กับทุกคนไปอีกนาน ดังนั้นจึงต้องปรับการดูแลความอยู่รอดของประชาชนอย่างเป็นระบบ ใครว่างงานหรือรายได้ตํ่ากว่ามาตรฐาน ควรได้รับการดูแลอย่างทั่วถึงด้วยหลัก Universal Basis Income (UBI) 4. เสริมจุดแข็งของประเทศ โดยนายกรณ์ กล่าวต่อว่า ประเทศไทยมีทุนหลายด้านที่เข้มแข็งมาก ตอนนี้ที่เด่นชัดที่สุดคือ ทุนจากความเป็นมืออาชีพในวงการสาธารณสุข ซึ่งไทยสามารถควบคุมโควิด-19ได้ดี ดังนั้นทางรัฐบาลจึงควรส่งเสริมแนวคิด Work from Thailand ดึงกลุ่ม Expat แรงงานต่างชาติกำลังซื้อสูงเข้าประเทศ ด้วยการกักตัวใน State Quarantine หากปลอดโรค ก็ให้ทำงานต่อ โดยการขยายวีซ่าเป็น 1-2 ปี เล็งเป้าเมืองที่มีความพร้อม ซึ่งได้รับผลกระทบหนักสุดจากการท่องเที่ยว เช่น ภูเก็ต สุราษฎร์ เชียงใหม่ หรือ อุบลราชธานี เป็น Official State Quarantine Zone “ทั้งหมดนี้ล่าช้าไม่ได้ เพราะในวิกฤตมีโอกาส และโอกาสครั้งนี้ประเทศไทยยังมีแสงสว่างปลายอุโมงค์ที่ต้องรีบคว้าไว้ ขอให้ทีมเศรษฐกิจชุดใหม่เตรียมพร้อม แล้วนำพาประเทศไทยก้าวพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกัน” หัวหน้าพรรคกล้า กล่าว