สนพ.เสนอ ครม.อนุมัติแผนพลังงานแห่งชาติ ไฟเขียวโรงไฟฟ้าชุมชน คาดเปิดรับซื้อไฟโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรม 75 เมกะวัตต์ เร่ง COD ปี 65 ให้ FiT สูงจูงใจเอกชน ปิดจุดอ่อน ใช้เกณฑ์ประเมินศักยภาพแทนประมูล นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน สำนักนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน(สนพ.) เปิดเผยว่า สนพ.ได้จัดเตรียมแผนพัฒนาพลังงานแห่งชาติ 2561-2580 revision 1 เสร็จเรียบร้อยและอยู่ระหว่างนำเสนอในคณะรัฐมนตรี(ครม.)อนุมัติ เพื่อนำไปปฏิบัติทันที่ ซึ่งในแผนพัฒนาฯนี้ จะมีโครงการโรงไฟฟ้าชุมชน 700 เมกะวัตต์เป็นโครงการแรก ซึ่งรวมถึงในรูปแบบ Quick Win 100 เมกะวัตต์ และแบบปกติ 600 เมกะวัตต์ นอกจากนั้นแผนพัฒนาพลังงานทดแทนได้ระบุถึงแผนการรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรม จำนวน 75 เมกะวัตต์ ซึ่งจะเป็นการรวมโครงการเดิมที่ค้างท่ออยูประมาณ 44 เมกะวัตต์กับโครงการใหม่ประมาณ 21 เมกะวัตต์ โดยตามแผนพัฒนาพลังงานแห่งชาติ กำหนดให้จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบภายในปี 2565 จึงคาดว่าจะต้องคัดเลือกผู้พัฒนาโครงการภายในปีนี้จึงจะสามารถสร้างโรงไฟฟ้าให้เสร็จสมบูรณ์ และสามารถจ่ายไฟฟ้าได้ภายในปี 2565 โดยการคัดเลือกโครงการโรงไฟฟ้ากากอุตสาหกรรมมีเกณฑ์การคัดเลือกที่แตกต่างกันคือ จะพิจารณาจากศักยภาพของผู้เสนอโครงการว่า มีปริมาณเชื้อเพลิงกากอุตสาหกรรมเพียงพอหรือไม่ แหล่งที่มาของเชื้อเพลิงจากที่ใด มีความมั่นคงทางเชื้อเพลิงหรือไม่ ตลอดจนประสบการณ์ในการพัฒนาโรงไฟฟ้า ตลอดจนการดูแลสิ่งแวดล้อมและชุมชน เนื่องจากโครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมด้านขยะซึ่งเป็นปัญหาหลักด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศไปพร้อมกับการผลิตไฟฟ้าตามนโยบาย Waste-to-Energy หรือการเปลี่ยนขยะเป็นพลังงาน จึงทำให้โครงการนี้มีอัตราการรับซื้อไฟฟ้าสูงถึงประมาณ 6.83 บาทต่อหน่วยเพื่อจูงใจให้เอกชนที่มีความพร้อมมาร่วมกันกับภาครัฐในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ปัจจุบันมีบริษัทฯที่มีความพร้อมครบทุกด้านเพียงไม่กี่ราย ทำให้มีโครงการค้างท่อจากการเปิดรับซื้อไฟฟ้าเมื่อ 2 ปีที่แล้วอยู่ถึง 44 เมกะวัตต์ ส่วนโครงการโรงไฟฟ้าชุมชน วัตถุประสงคหลักคือเพื่อช่วยเศรษฐกิจฐานราก ช่วยให้เกษตรกร และชุมชนทั่วประเทศมีรายได้ และมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของโรงไฟฟ้าโดยการเข้าถือหุ้นในโรงไฟฟ้า ในขณะที่ภาคเอกชนเป็นผู้ลงทุนในการพัฒนาเป็นหลัก โดยเชื่อมั่นว่าปีนี้จะประมูลโครงการ Quick Win ได้ตามเป้าหมาย นายจักรรัฐ เลิศโอภาส รองผู้ว่าการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(กนอ.)กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรมและ กนอ.ได้เสนอแนวทาง การเปลี่ยนขยะอุตสาหกรรมเป็นพลังงาน (Waste-to-Energy) เพื่อแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมและสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน โดยได้ทำหนังสือถึงกระทรวงพลังงาน และสำนักงานนโยบายพลังงานแห่งชาติ(สนพ.) เพื่อขอรับการสนับสนุนให้สร้างโรงไฟฟ้าขนาดเล็กมากด้วยเชื้อเพลิงจากกากอุตสาหกรรมที่ไม่เป็นอันตรายในรูปแบบของเชื้อเพลิงอัดก้อน Refuse Derived Fuel (RDF) ในเฟสแรกจำนวน 500 เมกะวัตต์ ซึ่งจะใช้ปริมาณกากอุตสาหกรรม ประมาณ 5 ล้านตันต่อปี ถือเป็นนโยบายเร่งด่วน สมควรจะบรรจุลงในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ.2561-2580 (PDP) เพิ่มเติท สำหรับแนวทางนี้จะช่วยแก้ปัญหาขยะอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน แทนการนำไปฝังกลบในบ่อฝังกลบซึ่งนอกจากจะไม่เกิดประโยชน์แล้ว ยังเป็นการสร้างปัญหาให้สิ่งแวดล้อม เนื่องจากประเทศไทยมีปริมาณหลุมฝังกลบไม่เพียงพอ และการขยายหรือสร้างหลุมฝังกลบใหม่เป็นเรื่องที่ทำได้ค่อนข้างยาก เนื่องจากอาจได้รับการต่อต้านจากประชาชนในจังหวัดนั้นๆ ทำให้สุดท้ายอาจเกิดปัญหาในการกำจัดกากอุตสาหกรรมที่เพิ่มมากขึ้นทุกวันๆ จากการขยายตัวของอุตสาหกรรมตามนโยบายของรัฐบาล และการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ และคาดว่าจะมีปริมาณกากอุตสาหกรรมมากถึง 25-28 ล้านตันต่อปีในปี 2565 เพิ่มจาก 22 ล้านตันต่อปีในปัจจุบัน ซึ่งเป็นปริมาณที่เพียงพอสำหรับใช้เป็นเชื้อเพลิงสร้างโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรมได้ถึง 2,000 เมกะวัตต์ ขณะที่การสร้างโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรมต้องสร้างในนิคมอุตสาหกรรมเพื่อการควบคุมดูแลการประกอบกิจการโรงไฟฟ้าไม่ให้ส่งผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม ซึ่งในปัจจุบันปริมาณขยะในประเทศไทยโดยรวมเฉลี่ยปริมาณขยะทั้งหมด 49.8 ล้านตันต่อปี แบ่งเป็นขยะชุมชน 27.8 ล้านตันต่อปี และขยะอุตสาหกรรม 22 ล้านตันต่อปี เป็นขยะอุตสาหกรรมไม่อันตราย 20.8 ล้านตันต่อปี และขยะอุตสาหกรรมอันตราย 1.2 ล้านตันต่อปี