“ฝ่ายค้าน” จ่อยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เช้าวันที่ 17 ส.ค.นี้ ย้ำต้องแก้ ม.256 ตั้งส.ส.ร. “อนุดิษฐ์” เผยยื่นแก้รธน.แค่ 2 ประเด็น ด้าน“สมเจตน์”ค้านตั้งสสร.ร่างรธน.ใหม่ทั้งฉบับ พร้อมยืนกรานไม่เห็นด้วยแก้มาตรา 256 เปรียบ เหมือน “ให้ลูกฆ่าแม่” ชี้เท่ากับเป็นการล้มล้างรธน. “กลุ่มปกป้องสถาบันฯ” มาตามนัด! ยึดพื้นที่ปักหลักฝั่งศรแดง“ล็อกเป้า” พวกจาบจ้วง เก็บข้อมูลยื่น“สตช.” พร้อมจี้หักคะแนน“นักเรียน-นิสิตร่วมม็อบปลดแอก” พร้อมยุบพรรคสนับสนุนให้ชุมนุม ด้าน“กลุ่มปลดแอก” ไม่สนลุยชุมนุมไม่ถอย หวิดวุ่นวาย! “กลุ่มปลดแอก” เดินผ่าน “ศอปส.” ชูสามนิ้ว ถูกโห่ไล่-ด่าทอ ก่อนแกนนำเตือนชุมนุมสงบ “นายกฯ” ขอบคุณเจ้าหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยในการชุมนุม ขอให้อดทนอดกลั้น ห้ามใช้ความรุนแรงเด็ดขาด ส่วน “ซูเปอร์โพล” เผยปชช.เกือบ 100% จี้ม็อบหยุดล่วงละเมิดสถาบัน เมื่อวันที่ 16 ส.ค.63 นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย (พท.) ฐานะประธานวิปฝ่ายค้าน เปิดเผยว่า ในวันที่ 17 ส.ค.นี้ เวลา 10.45 น. ตัวแทนพรรคร่วมฝ่ายค้านทั้งหมดจะยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในส่วนของพรรคร่วมต่อประธานสภาฯ โดยสาระสำคัญยังอยู่ที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 เพื่อเปิดทางไปสู่การตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ(ส.ส.ร.) จากนั้น เราจะรอฟังกระแสสังคมอีกครั้ง เพื่อยื่นร่างแก้ไขในส่วนของแต่ละพรรคร่วมฝ่ายค้านเพิ่มเติมต่อไป อย่างไรก็ตาม หากที่สุดแล้วไม่สามารถผลักดันการแก้ไขมาตรา 256 ตั้งส.ส.ร.ได้ เราจะเดินหน้าแก้เป็นรายมาตราต่อไป โดยมีรายละเอียดประเด็นเช่น ตัดอำนาจ ส.ว.ในการโหวตเลือกนายกฯ และระบบการเลือกตั้ง แต่เราอยากให้มีการตั้ง ส.ส.ร.ให้ประชาชนมาร่างรัฐธรรมนูญด้วยตัวเองก่อน ด้าน น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะยื่นต่อประธานสภามีเพียง 2 ประเด็นเท่านั้น โดยจะเป็นประเด็นเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญมาตรา 256 และการตั้ง ส.ส.ร. ไม่มีประเด็นอื่น อย่างไรก็ตาม หากพรรคร่วมฝ่ายค้านจะยื่นแก้ไข ในประเด็นอื่นๆ อีกก็ต้องมาหารือกันอีกครั้งว่าจะยื่นเพิ่มเติมอย่างไรบ้าง เพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องใช้เสียงส.ส.100 เสียง จึงต้องร่วมใจกันและตกผลึกให้ได้ก่อน ส่วน พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม สมาชิกวุฒิสภา กล่าวถึงข้อเสนอให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อตั้งสสร.มาร่างรัฐธรรมใหม่ทั้งฉบับ ว่า ส่วนตัวเป็นหนึ่งในผู้ที่ไม่เห็นชอบกับรัฐธรรมนูญ2560 เพราะในบางมาตรา ตนมองว่ามีปัญหา เเต่อีกด้านตนมองว่าก็ยังมีส่วนดี จึงอยากให้แก้ไขเป็นรายมาตราดีกว่า แต่จะให้ไปตั้งสสร.ขึ้นมาร่างใหม่แล้ว จะมั่นใจได้อย่างไรว่าส่วนที่ดีจะยังคงอยู่ เงื่อนไขต่างๆอาจทำได้ แต่ก็ไม่ง่าย ต้องผ่านกระบวนการความเห็นพ้องต้องกันเสียก่อน โดยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 เพื่อกำหนดให้มีสสร. ขึ้นมาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เรียกว่าเป็นการแก้ไขเพื่อให้ลูกมาฆ่าแม่ ถือว่าเป็นการกระทำล้มล้างรัฐธรรมนูญ ซึ่งกรณีลักษณะนี้ศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยไว้เป็นบรรทัดฐาน เมื่อปี 2555 ครั้งที่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 291 ว่ากระทำมิได้ หากจะกระทำต้องไปขอประชามติเสียก่อน กรณีนี้ตนจึงขอยกมือคัดค้าน การแก้ไขมาตรา 256 ทำไม่ได้เด็ดขาด เปรียบเหมือนไปเปิดโอกาสให้ เขารื้อบ้านเราทิ้งแล้วสร้างใหม่ ไม่รู้ว่าเขาจะยังคงบานประตูและหน้าต่าง ที่เราชอบไว้หรือเปล่า และเมื่อถึงช่วงนั้น ไม่ว่าเราจะทักท้วงอย่างไร เขาก็ไม่ฟัง จึงเป็นการยากที่เราจะได้บานประตู และหน้าต่าง ที่เราชอบกลับคืนมา ขณะที่ นายวันชัย สอนศิริ สมาชิกวุฒิสภา โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวใจความสรุปว่า มีคนถามมาเยอะที่เสนอให้ส.ว.ไม่ต้องโหวตเลือกนายกฯ และแก้ไขรัฐธรรมนูญอีกหลายเรื่องนั้นมีสัญญาณมาจากใครอย่างไรหรือไม่ ขอเฉลยไม่ต้องอ้อมค้อมว่า 1.สัญญาณจากความสำนึกว่าเวลานี้ไม่ใช่สถานการณ์แบบนั้นในขณะนั้น เป็นสถานการณ์ที่เศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ต้องเปลี่ยนแปลง แม้แต่รัฐธรรมนูญถึงคราวเปลี่ยนแปลงก็ต้องเปลี่ยนแปลงให้เข้ากับสถานการณ์และเหตุการณ์ ไม่ควรแข็งขืน 2.สัญญาณจากประชาชน ต้องยอมรับว่าขณะนี้มีเสียงเรียกร้องมามาก ทั้งในในสภาและนอกสภา แม้รัฐบาลจะอยู่ด้วยเสียงส่วนใหญ่ในสภา แต่ในความเป็นจริงก็ล้มมาจากเสียงส่วนใหญ่นอกสภา 3. สัญญาณแห่งความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง มันมาเร็วเกินคาด และเร็วมากที่จะต้องยอมรับความเป็นจริงแห่งประชาธิปไตย จะเป็นแบบผสมผสานอย่างที่เป็นอยู่เช่นทุกวันนี้คงไม่ได้ ต้องยอมรับความเป็นจริงว่าต้องรีบส่งต่อประชาธิปไตย รัฐบาลจะอยู่ได้หรือไม่ได้ก็ด้วยเสียงของสภาผู้แทนราษฎรเป็นส่วนใหญ่ และ 4.เวลามันไล่ล่าเราเข้ามาทุกที มันหมดเวลาที่เราจะมาขัดแย้งกันเรื่องแย่งอำนาจ เวลานี้เป็นเวลาของทุกฝ่ายที่จะต้องร่วมไม้ร่วมมือกัน รวมพลังเป็นพวกเดียวกันเพื่อฝ่าฟันวิกฤตของประเทศไปให้ได้ จึงต้องประนอมอำนาจกันให้ลงตัว ได้กันบ้าง เสียกันบ้าง เอาประเทศชาติประชาชนเป็นตัวตั้ง อย่าเอาแพ้เอาชนะต่อกัน แค่นั้นประเทศก็เดินไปได้ ทั้งนี้ ไม่ต้องให้ใครส่งสัญญาณ ถ้าทุกคนมีจิตสำนึกเพื่อส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ก็แสดงออกได้อย่างเต็มที่เต็มกำลัง ส่วน ที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนิน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา10.30น. ได้มีกลุ่มศูนย์กลางประสานงานนักศึกษาอาชีวะประชาชนปกป้องสถาบัน (ศอปส.) ประมาณ 70คน ได้มาปักหลักชุมนุม ฝั่งร้านอาหารศรแดง โดยมีการชูป้ายปกป้องสถาบัน ขณะเดียวกันได้มีกลุ่มเยาวชนปลดแอกทยอยเดินทางมาชุมนุมบริเวณ ฝั่งโรงเรียนสตรีวิทยา เพื่อป้องกันการเผชิญหน้ากัน ซึ่งบรรยากาศ เป็นไปอย่างเรียบร้อย และมีเจ้าหน้าที่ตำรวจจากสน.สำราญราษฎร์ และใกล้เคียงกว่า 4กองร้อย หรือ600ร้อยนายมาคอยดูแลความสงบเรียบร้อย ทั้งนี้ กลุ่มศอปส.ได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่4 มีเนื้อหาสรุปว่า ได้รับการเรียกร้องจากประชาชนหลายฝ่ายให้เข้าสังเกตการณ์การจัดชุมนุมของกลุ่มเยาวชนปลดแอก ที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยในวันที่ 16 ส.ค. เพื่อเฝ้าดูว่ากลุ่มบุคคลที่แอบอ้างประชาธิปไตย จะพยายามแยกสถาบันพระมหากษัตริย์ ออกจากระบบการปกครองแบบประ ชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือไม่ หรือด้วยการใช้การกล่าว ก้าวล่วงต่อสถาบันอย่างไม่เหมาะสมประการอื่นๆอย่างที่เคยกระทำมาก่อนหรือไม่ จึงต้องเข้าร่วมสังเกตการณ์ด้วยแนวทางสันติวิธี และหากมีการกระทำที่พาดพิงก้าวล่วงสถาบันขึ้น ทางศอ.ปส.จะนำหลักฐานทั้งหมด ให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการต่อไป และจะนำหลักฐานดังกล่าวประกอบคำร้อง ไปยื่นหนังสือถึงพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.ในวันที่ 17 ส.ค. เวลา 13:00 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) ด้าน นายสุเมธ ตระกูลวุ่นหนู แกนนำผู้ประสานงานกลุ่ม ศอปส. กล่าวว่า “เรามาเพื่อแค่ปกป้องสถาบันเพียงอย่างเดียว ฝั่งประชาชนปลดแอกจะโจมตีนักการเมือง รัฐบาล หรืออะไรก็แล้วแต่ ไม่เกี่ยวกับพวกเรา ส่วนที่เลือกมาชุมนุมในวันนี้ เราเห็นท่าทีของฝั่งโน้น ไม่ว่าจะเป็นแกนนำกลุ่มที่ได้รับประกันตัวออกมา ยืนยันว่าจะมาร่วมชุมนุมเราจึงมาตามภารกิจ ที่เราคิดว่าน่าจะมีการพูดจาจาบจ้วงสถาบัน ผมบอกพี่น้องทุกคนว่า เราขออนุญาตจากเจ้าหน้าที่แล้ว ว่าเราจะอยู่เพียงจุดนี้ ไม่เคลื่อนไปไหนเด็ดขาด ไม่มีการปะทะจะอยู่แบบสันติอหิงสา ขอย้ำว่าจะไม่เคลื่อนย้ายมวลชนเด็ดขาด ถ้ามีการลงถนน คือ การทำผิดกฎหมาย แต่ถ้าหากมีมวลชนฝั่งตนฝ่าฝืนลงไปจากทางเท้า แล้วไปปะ ทะกับฝั่งตรงข้าม ถือว่าไม่ใช่พวกเรา อาจจะเป็นมือที่3 มีจุดประสงค์ไม่ดีจะให้เกิดการยั่วยุ ซึ่งไม่ใช่วิสัยของเรา คนไทยด้วยกันจะไม่มีคำว่าฆ่ากันเองเด็ดขาด” จากนั้น ได้มีการปราศรัย โดยมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับความรักชาติ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของประเทศ และความสามัคคีของคนในชาติ นอกจากนี้ยังมีการปราศรัยเรียกร้องให้หักคะแนนนักเรียน นักศึกษา งดให้ทุนและรับเข้าทำงาน และ ให้มีการยุบพรรคการเมืองที่ให้การสนับสนุนการชุมนุมของกลุ่มนักศึกษา ต่อมา เวลา 14.00 น. ในการชุมนุมยังมีการเรียกร้องแนะนำให้เด็กนักเรียน นักศึกษากลับไปเรียนให้จบ อย่าไปฟังคำยุแย่ของคนต้องการขายชาติ และไม่รู้สำนึกของสถาบันที่ทำให้ประเทศไทยเป็นอิสระ ไม่เป็นเมืองขึ้นชาติไหน และในระหว่างที่การปราศรัยได้เกิดเหตุการณ์วุ่นวายขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากมีกลุ่มเด็กเยาวชนที่ทยอยเดินทางมาเพื่อที่จะไปประชุมกับกลุ่มประชาชนปลดแอก ฝั่งโรงเรียนสตรีวิทยา ได้เดินผ่านบริเวณที่กลุ่มศอ.ปส.และเครือข่าย กำลังชุมนุม โดยได้มีการชู 3 นิ้ว ยั่วยุใส่กลุ่มผู้ชุมนุม ทำให้กลุ่มศอปส.บางส่วนตะโกนโห่ไล่ ด่าทอ พร้อมเปิดเพลงหนักแผ่นดิน อย่างไรก็ตาม ทางแกนนำได้ประกาศขอให้ชุมนุมอย่างสงบ อย่าโห่ร้องด่าทอกลุ่มคนเหล่านั้น เพราะถือเป็นลูกหลานของเรา และอย่าปล่อยให้ถูกอารมณ์ยั่วยุให้เกิดความรุนแรง เพราะประเทศชาติจะไม่ได้อะไร ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งพบวัตถุต้องสงสัย ใส่ถุงวางทิ้งไว้บริเวณลานว่างด้านหลังแม็คโดนัล เจ้าหน้าที่จึงกันพื้นที่โดยรอบก่อนประสาน เจ้าหน้าที่ตำรวจกลุ่มงานเก็บกู้วัตถุระเบิดบก.สปพ.191 มาทำการตรวจสอบ โดยพบถุงพลาสติกสีขาวลายสีเหลือง ด้านในมีวัสดุทรงกลม ถูกพันเทปกาวสีดำโดยรอบ เจ้าหน้าที่อีโอดีจึงใช้อุปกรณ์ตรวจจับโลหะตรวจสอบเบื้องต้น ก่อนจะเก็บกู้วัตถุต้องสงสัยออกจากพื้นที่ไปเพื่อนตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง ด้าน น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ดูความสงบเรียบร้อยร้อยในการจัดการชุมนุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยให้กำลังใจและขอให้ปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา ใช้ความอดทนอดกลั้นต่อการยั่วยุ ห้ามใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุมเด็ดขาด โดยให้เข้าใจว่าความเห็นต่างเป็นเรื่องปกติของการเมือง จึงต้องเปิดโอกาสให้เยาวชน คนหนุ่มสาวได้แสดงออกอย่างเต็มที่ แต่ต้องไม่เกินเลยกรอบของกฎหมาย และไม่กระทบต่อสิทธิของผู้อื่น น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ ยังแสดงความห่วงใยไปยังเจ้าหน้าที่ รวมถึงผู้ชุมนุม จึงขอให้หลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่จะนำไปสู่ความรุนแรง ซึ่งเป็นสิ่งที่ประชาชนคนไทยไม่อยากให้เกิดขึ้นอีก เพราะต้องอย่าลืมว่าขณะนี้ ทั่วโลกและประเทศไทยกำลังเผชิญกับการระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชาชนเป็นวงกว้าง และทางออกของสถานการณ์ก็คือความร่วมมือร่วมใจกันของทุกภาคส่วน น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ ให้ความสำคัญกับบทบาทของคนรุ่นใหม่ จึงมีนโยบายให้ส่งเสริมกระบวนการสร้างความเข้าใจให้ตรงกัน ลดช่องว่างทางความคิดระหว่างคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ เสริมสร้างความรักและความสามัคคีในการที่จะช่วยกันขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศไปข้างหน้าด้วยความเข้าใจซึ่งกันและกัน คนไทยทุกๆ รุ่น(Generatios) ต้องร่วมกันสร้างชาติไทยไปด้วยกัน ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดย พล.อ.ประยุทธ์ ได้มอบนโยบายให้คณะรัฐมนตรี ไปดำเนินการให้เป็นรูปธรรมโดยเร็ว ที่อาคารไทยซัมมิท ชั้น 5 นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า กล่าวบรรยายสาธารณะพิเศษ “ชวนสนทนาว่าด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข” ตอนหนึ่งว่า การเมืองขณะนี้ ต้องเริ่มต้นจัดการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยุบสภา และเลือกตั้งใหม่ เพื่อเป็นทางออกเดียวของประเทศ ก่อนที่ทุกอย่างจะลุกลามบานปลายมากกว่านี้ ขณะที่ สำนักวิจัยซูเปอร์โพล เปิดเผย ผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง “ม็อบต้องเลิกล่วงละเมิดสถาบันฯ ตำรวจต้องรักษาความสงบสุขประชาชน” โดยพบว่าประชาชนส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 95.8 ระบุว่า ม็อบต้องเลิกล่วงละเมิดสถาบันฯ หยุดเอาสถาบันหลักของชาติเป็นเครื่องมือของทุกฝ่าย ให้การชุมนุมเป็นเฉพาะเรื่องการเมือง การทำงานของรัฐบาลและนักการเมือง นอกจากนี้ประชาชนส่วนใหญ่เกือบร้อยละ 100 คือร้อยละ 99.4 ระบุ ยังจำได้ต่อความดีและประโยชน์สุขของประชาชนที่ได้รับจากสถาบันหลักของชาติ ที่ได้สร้างสมมาจากอดีตถึงปัจจุบัน