ศาสตราจารย์พิเศษ วิชา มหาคุณ ประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กรณีสั่งไม่ฟ้อง นายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ บอส ขับรถชนตำรวจเสียชีวิตปี 55 เผยว่า ในส่วนของกระบวนการตรวจสอบกำหนดให้แล้วเสร็จในวันที่ 30 ส.ค.นี้ ขณะนี้ได้ส่งรายงาน 10 วัน เรียบร้อยแล้ว เข้าสู่สัปดาห์ที่ 2 การตรวจสอบคืบหน้าพอสมควร ทั้งนี้ได้เชิญผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งพยาน,คนทำสำนวน ตลอดจนผลการตรวจสอบของคณะกรรมการทั้งฝ่ายอัยการและตำรวจ ไม่ว่าจะเป็น นายอรรถพล ใหญ่สว่าง ในฐานะประธาน กอ. , พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร และนายเนตร นาคสุข รองอสส.ผู้สั่งคดี รวมถึงเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านความเร็วรถ,และยาเสพติดกรณีโคเคนว่าจริงหรือไม่จริง การเรียกมาสอบเพื่อให้เกิดความชัดเจน โดยผลการตรวจสอบไม่จำเป็นว่าต้องเหมือนกับคณะกรรมการชุดอื่น ศาสตราจารย์พิเศษ วิชา ระบุว่า ผลการตรวจสอบของคณะกรรมการฯชุดนี้ ไม่ใช่การชี้ผิดชี้ถูก แต่จะมุ่งไปที่การให้ข้อเสนอแนะอย่างตรงไปตรงมา ว่าสอดคล้องกับหลักการที่แท้จริงไหม เพราะต้องตรวจสอบด้านกฎหมายด้วย โดยต้องเสนอนายกรัฐมนตรีให้รับทราบ อย่างกรณีของ ผบ.ตร. ได้ชี้ให้เห็นว่า “การมอบอำนาจขาด” เป็นสิ่งที่ผิดไม่ถูกต้อง เพราะในฐานะผู้บังคับบัญชาสูงสุด ต้องติดตามว่าตัวแทนที่มอบอำนาจไปทำถูกต้องหรือไม่ ถ้าไม่ถูกก็ต้องเปลี่ยนแปลงแก้ไข เป็นสิ่งที่ต้องนำมาตรวจสอบ ซึ่งทาง ผบ.ตร.ก็ได้รับปาก และอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าเสนอใหม่ไหม จุดไหนเป็นข้อบกพร่อง อีกทั้งในส่วนของตำรวจในสายงานที่เกี่ยวข้องต้องถูกดำเนินคดี ทราบว่ามีการแถลงข่าวต่อมวลชนไปแล้วว่ามีระดับไหนบ้าง พร้อมย้ำว่า “แม้คณะกรรมการชุดนี้จะไม่ได้ชี้ขาด แต่จะเสนอแนะ พูดจากันให้ชัดเจนว่าผิดพลาดตรงจุดไหน บกพร่องตรงไหนโดยไม่เห็นแก่หน้าใครแน่นอน เพราะไม่ต้องไปรับผิดใคร แต่การเสนอต้องหนักแน่นและเพียงพอต่อการชี้ เมื่อเสนอไปยังนายกรัฐมนตรี ให้พิจารณาแล้วก็จะสั่งการอีกครั้งว่าหน่วยงานไหนควรต้องแก้ไข อย่างกรณีของตำรวจ ซึ่งท่านกำกับดูแลเอง ก็สั่งการได้โดยตรง” ศาสตราจารย์พิเศษวิชา กล่าว ศาสตราจารย์พิเศษ วิชา ยังยอมรับด้วยว่า เป็นห่วงความปลอดภัยของทุกคนที่ต้องเข้าให้ถ้อยคำกับทาง คณะกรรมการฯรวมทั้งที่ต้องไปศาล หรือใช้ชีวิตในปัจจุบัน รวมทั้ง พ.ต.อ.ธนสิทธิ แตงจั่น ทางคณะกรรมการฯจึงต้องรีบเชิญมาให้ถ้อยคำ ซึ่งท่านที่เชิญมาก็รับปากจะมาวันอังคารที่ 18 ส.ค.นี้ ซึ่งทางคณะกรรมการต้องทำประเด็นคำถามข้อสงสัยต่างๆ ส่วนการตรวจสอบเรื่องผลประโยชน์นั้น จะดูข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ที่เกี่ยวของกัน เพื่อเอาไปเป็นข้อมูล ถ้าพฤติการณ์เข้าข่ายประพฤติมิชอบ นายกฯก็จะส่งให้หน่วยนั้นๆไปตรวจสอบ รวมถึงจะดูในรายละเอียด กรณี ปปช .ชี้มูลความผิดด้วย ซึ่ง ปปช.ได้ส่งสำนวนมาให้ดูจำนวนมากต้องใช้เวลาในการอ่านเอกสารสำนวน