นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กล่าวว่า ทางกรมฯ ได้รับแจ้งล่าสุดจากสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองเจนไน สาธารณรัฐอินเดีย ซึ่งมีเขตอาณาครอบคลุมถึงศรีลังกาและสาธารณรัฐมัลดีฟส์ ว่า ทางรัฐสภามัลดีฟส์ได้เห็นชอบแก้ไขกฎหมายว่าด้วยการนำเข้าและการส่งออก โดยเตรียมลดภาษีนำเข้าหลายรายการ สูงสุดถึง 50% สำหรับสินค้าที่นำเข้าผ่านท่าเรือภูมิภาค ณ หมู่เกาะคุฮาดูฟฟูชิ เกาะหลักทางตอนเหนือใกล้กับอินเดียและตะวันออกกลาง และเมืองอัดดู เมืองสำคัญทางภาคใต้ของประเทศ รวมถึงสินค้า ที่นำเข้าผ่านสนามบินนานาชาติในท้องถิ่นด้วย โดยสินค้าที่เข้าข่ายได้รับการลดภาษีนำเข้า ได้แก่ วัสดุก่อสร้างประเภทเหล็กแผ่นรีดลอน เหล็กแผ่น เหล็กเส้น ผลิตภัณฑ์เซรามิค และเครื่องครัว เป็นต้น และจะมีการประกาศอีกครั้งในรายละเอียดต่อไป ทั้งนี้ ไม่รวมถึงสินค้าควบคุมการนำเข้าประเภทเนื้อหมู เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และผลิตภัณฑ์ยาสูบ/บุหรี่ โดยตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคมเป็นต้นมา มัลดีฟส์ เป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเชียใต้ที่เปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติอีกครั้งภายหลังปิดประเทศตามมาตรการล็อคดาวน์ตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคมที่ผ่านมา เพื่อเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศซึ่ซึ่งพึ่งพาธุรกิจท่องเที่ยวเป็นสำคัญ คิดเป็นประมาณ 30% ของจีดีพี โดยทางกรมฯ มองว่าการกลับมาเปิดประเทศของมัลดีฟส์หลังสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศเริ่มคลี่คลายจะทำให้รีสอร์ท ตามเกาะต่างๆ เริ่มทยอยกลับมาให้บริการนักท่องเที่ยวตามปกติอีกครั้ง ส่งผลให้มีความต้องการนำเข้าสินค้า หลายประเภทเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นจึงเป็นโอกาสดีสำหรับผู้ประกอบการไทยที่จะขยายตลาดสินค้าและบริการไทยเข้าสู่มัลดีฟส์ที่กำลังต้องการสินค้าและบริการเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว นอกจากนี้ การแก้ไขร่างกฎหมายโดยปรับลดภาษีนำเข้า ซึ่งได้รับการผลักดันจากกลุ่มการเมืองในเขตท้องถิ่นเพื่อกระจายกิจกรรมทางเศรษฐกิจไปยังต่างพื้นที่นอกเหนือจากกรุงมาเล่ที่เป็นเมืองหลวงของประเทศนั้น นับเป็นโอกาสของรีสอร์ตที่กระจายตัวในเขตหมู่เกาะทางตอนเหนือและตอนใต้ของประเทศที่สามารถนำเข้าสินค้าได้โดยสะดวกมากยิ่งขึ้น อีกทั้งหมู่เกาะดังกล่าวมีรีสอร์ทที่มีชื่อเสียง รวมถึงรีสอร์ทของไทยตั้งอยู่ด้วย ดังนั้นการปรับลดภาษีนำเข้าสินค้าดังกล่าวจะยิ่งเพิ่มโอกาสให้กับสินค้าศักยภาพของไทย โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มวัสดุก่อสร้าง เครื่องครัวและสินค้าไลฟ์สไตล์ต่างๆ ที่มีการออกแบบเหมาะสมกับการใช้งานของกลุ่มโรงแรมและรีสอร์ทให้สามารถส่งออกไปประเทศมัลดีฟส์ได้เพิ่มขึ้นต่อไป ทั้งนี้ นายสมเด็จ กล่าวต่อไปว่าประเทศมัลดีฟส์เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของโลกและนับเป็นหนึ่งในตลาดศักยภาพของไทย ในภูมิภาคเอเชียใต้ที่กรมให้ความสำคัญมาโดยตลอด โดยที่ผ่านมากรมได้ดำเนินโครงการและกิจกรรมต่างๆ เพื่อเร่งขยายโอกาสให้แก่ผู้ประกอบการของไทยอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการจัดโครงการคณะผู้บริหารระดับสูงกระทรวงพาณิชย์และคณะผู้แทนการค้าเยือนมัลดีฟส์ โครงการคณะผู้แทนการค้าสินค้าอาหารและอุตสาหกรรมเยือนมัลดีฟส์ การเชิญผู้นำเข้ามัลดีฟส์เข้าร่วมการเจรจาการค้าสินค้าก่อสร้างในประเทศไทยหรืองานแสดงสินค้านานาชาติอื่นๆ ที่กรมจัดขึ้น เป็นต้น และสำหรับปีงบประมาณ 2564 ที่จะถึงนี้ กรมได้เตรียมโครงการจับคู่เจรจาธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการไทยและผู้นำเข้ามัลดีฟส์ในกลุ่มธุรกิจของใช้ในโรงแรม อาหาร และสินค้าอุปโภคบริโภคอื่นๆ ในช่วงต้นปี 2564 เพื่อส่งเสริมและผลักดันให้ผู้ประกอบการไทยดำเนินธุรกิจในตลาดมัลดีฟส์ได้อย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืนต่อไป อย่างไรก็ดี ในปี 2562 ที่ผ่านมา ไทยและมัลดีฟส์มีมูลค่าการค้ารวม 186.53 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 1.85 % จากปีก่อนหน้า โดยไทยส่งออกไปมัลดีฟส์ มูลค่า 119.50 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 0.94% จากปีก่อนหน้า ที่นำเข้าจากมัลดีฟส์ 67.03 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 7.25 % โดยสินค้าสำคัญ 5 อันดับแรกที่ไทยส่งออกไป มัลดีฟส์มากที่สุด ได้แก่ รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์พลาสติก เครื่องนุ่งห่ม เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ ตามลำดับ ขณะที่สินค้าหลักที่ไทยนำเข้าจากมัลดีฟส์แทบทั้งหมด คือ สัตว์น้ำสด แช่เย็น แช่แข็ง แปรรูปและกึ่งสำเร็จรูป สำหรับผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ www.ditp.go.th หรือสายตรงการค้าระหว่างประเทศ โทร 1169