ซาบีน่าเปิดเผยผลการดำเนินงานครึ่งแรกปี 63 รายได้จากการขาย 1,331 ล้านบาท ลดลง 18.4% จากครึ่งแรกของปีที่ผ่านมา ซึ่งมีรายได้จากการขาย 1,632 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิ 6 เดือนแรก อยู่ที่ 121 ล้านบาท ลดลง 39.6% จากงวดเดียวกันของปี 2562 โดยอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 45.9% เหตุรับผลกระทบจากการล็อคดาวน์ หลังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่ยังรักษากำไรสุทธิไว้ได้ จากมาตรการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ยอดขายผ่านออนไลน์โต 109% ย้ำชัดไตรมาสที่ 2เป็นจุดต่ำสุดแล้ว รอฟื้นตัวตามสถานการณ์เศรษฐกิจ นายบุญชัย ปัณฑุรอัมพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซาบีน่า จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ซาบีน่ายังคงรักษาอัตรากำไรสุทธิไว้ได้ทั้งในไตรมาสที่ 2 และงวด 6 เดือนแรกของปีนี้ แม้ว่าจะเป็นช่วงบริษัทฯ ต้องเผชิญความยากลำบากที่สุด จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้รัฐบาลตัดสินใจประกาศล็อคดาวน์เพื่อสกัดการแพร่ระบาดด้วยการปิดห้างสรรพสินค้าตั้งแต่ปลายไตรมาสแรกจนถึงกลางไตรมาสที่ 2 ทำให้รายได้จากช่องทางค้าปลีก (Retail) ซึ่งเป็นช่องทางหลักได้รับผลกระทบ โดยครึ่งแรกของปีนี้รายได้ในช่องทางดังกล่าวลดลง 31.2% เช่นเดียวกับรายได้จากการส่งออก (Export) สินค้าแบรนด์ “ซาบีน่า” ไปยังประเทศในกลุ่ม CLMV ที่ลดลง 2.6% และรายได้จากการรับจ้างผลิต (OEM) ให้กับลูกค้าในแถบยุโรปที่ลดลง 2.4% อย่างไรก็ตาม บริษัทยังสามารถสร้างการเติบโตผ่านช่องทาง NSR (Non Store Retailing) ทั้งการขายออนไลน์ รวมถึงทีวีช้อปปิ้ง และอื่นๆที่ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ขยายตัวได้ถึง 58.1% โดยเฉพาะในไตรมาสที่ 2 ซึ่งเป็นช่วงที่ได้รับผลกระทบจากการปิดห้างสรรพสินค้ามากที่สุด แต่การขายในช่องทาง NSR ยังสามารถเติบโตได้ถึง 109.2% สะท้อนความสำเร็จจากการปรับตัวของซาบีน่า ที่เดินหน้าสร้างทีมขายและทีมการตลาดช่องทางออนไลน์ได้อย่างแข็งแกร่ง จนติดอันดับสินค้าในกลุ่มแฟชั่นที่มียอดขายสูงสุดในแพลตฟอร์มออนไลน์ชั้นนำ ซึ่งถือเป็นจุดแข็งของซาบีน่าที่จะต้องพัฒนาและต่อยอดให้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง “แม้ว่ารายได้จากช่องทางหลักจะลดลง แต่เรายังสามารถรักษากำไรไว้ได้ โดยปัจจัยหลักมาจากการที่บริษัทฯ บริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลงเหลือ 45.9% เพราะในช่วงเวลาดังกล่าว อีกทั้งบริษัทจะจัดโปรโมชั่นลดราคาสินค้า เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของผู้บริโภคซึ่งได้รับผลกระทบจากรายได้ที่ลดลงตามมาตรการของรัฐแล้ว บริษัทยังใช้กำลังการผลิตบางส่วนดำเนินการผลิตหน้ากากผ้าสำหรับบริจาคให้หน่วยงานต่างๆที่มีความต้องการใช้อย่างต่อเนื่อง” โดยในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะในส่วนของบุคลากรทางแพทย์ เจ้าหน้าที่หน่วยงานรัฐที่ทำงานบริการประชาชน รวมถึงบริจาคให้กับนักเรียนในถิ่นที่ขาดแคลนหน้ากากผ้า ซึ่งถือเป็นกิจกรรมช่วยเหลือสังคมในภาวะวิกฤติที่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน ทั้งนี้หลังจากสถานการณ์ต่างๆคลี่คลายและมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นมั่นใจว่า บริษัทจะกลับมารักษาการเติบโตของอัตรากำไรขั้นต้นได้ตามเป้าหมายที่วางไว้อย่างแน่นอน” สำหรับช่วงที่เหลือของปีนี้ บริษัทยังคงต้องติดตามสถานการณ์ต่างๆอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นแนวโน้มการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั้งในประเทศไทยและในต่างประเทศ รวมถึงการประเมินกำลังซื้อจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยรวมว่าจะใช้เวลาเท่าไหร่จึงจะกลับสู่ภาวะปกติ ตลอดจนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ โดยเฉพาะการกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชน ซึ่งหากว่าสถานการณ์มีแนวโน้มดีขึ้นตามลำดับก็จะทำให้ผลประกอบการของบริษัทฯ ในครึ่งหลังของปี มีแนวโน้มที่ดีขึ้นหลังจากพ้นจุดต่ำสุดในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ และคาดว่าจะกลับมาเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งอีกครั้งในปี 2564