TOA ผู้นำนวัตกรรมสีทาอาคารและผลิตภัณฑ์ปกป้องพื้นผิวแบบครบวงจรในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน ประกาศผลการดำเนินงานที่โดดเด่นในไตรมาส 2/2563 มีกำไรสุทธิเติบโตสูงขึ้น 24% จากไตรมาสเดียวกันในปี 62 ชูกลยุทธ์บุกตลาดเคมีก่อสร้างภายในประเทศ และขยายธุรกิจสีทาอาคารและสารเคลือบผิวในต่างประเทศต่อเนื่อง นายจตุภัทร์ ตั้งคารวคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัททีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในไตรมาส 2/2563 บริษัทมีกำไรสุทธิสูงถึง 593 ล้านบาท (+24% YoY) เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 115 ล้านบาท และมีกำไรต่อหุ้น (EPS) 0.29 บาท/หุ้น จากกำไรขั้นต้นที่ปรับตัวสูงขึ้น ประกอบกับการควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารให้ปรับตัวลดลง สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการทำกำไรและการบริหารจัดการต้นทุนของกิจการ ทั้งนี้บริษัทได้ประกาศการจ่ายปันผลระหว่างกาลสำหรับผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2563 ที่ 0.27 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้นจากครึ่งปีก่อน 0.04 บาทต่อหุ้น คิดเป็น 50% ของกำไรสุทธิต่อหุ้น งวด 6 เดือนปี 2563 ตามงบการเงินเฉพาะกิจการ และกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิ์ได้รับปันผล(Record date)ในวันที่ 28 สิงหาคม 2563 “แม้ว่าในปีนี้เราต้องเผชิญกับวิกฤตโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อภาคธุรกิจและความเป็นอยู่ของประชาชน แต่บริษัทยังมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง สามารถสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจให้แก่ผู้ถือหุ้น แม้ว่าจะได้ผลกระทบเพียงเล็กน้อยจากการล็อคดาวน์ของรัฐบาลในประเทศและภูมิภาคอาเซียนด้วยกลยุทธ์การบุกตลาดเคมีก่อสร้าง และกลุ่มสินค้าแบบครบวงจร เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคให้มมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าธุรกิจของเราในปัจจุบันเติบโตไปมากกว่าการเป็นธุรกิจสีทาอาคารแล้ว” สำหรับบริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตในอนาคต ด้วยการรุกตลาดเคมีก่อสร้างภายในประเทศที่เข้มข้นมากขึ้น โดยในปีนี้จะมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดที่มีอยู่ในปัจจุบัน รวมทั้งยังคงเดินหน้าเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดผลิตภัณฑ์สีทาอาคารและสารเคลือบผิวภายในภูมิภาคอาเซียนที่ทางบริษัทได้มีการขยายธุรกิจและสร้างโรงงานแห่งใหม่ในต่างประเทศ พร้อมก้าวสู่การเป็นแบรนด์สีอันดับหนึ่งในภูมิภาคอาเซียนด้วยนวัตกรรมสินค้าที่โดดเด่นและแบรนด์สินค้าที่แข็งแกร่ง “TOA ไม่หยุดที่จะพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคทั้งในปัจจุบันและอนาคต ควบคู่ไปกับการดูแลสิ่งแวดล้อมและสังคมอย่างยั่งยืน”