"เนตร นาคสุข"รองอัยการ เข้าชี้แจง"กมธ.กฎหมายฯ" ปมสั่งไม่ฟ้อง"บอส อยู่วิทยา" ชี้หากพบหลักฐานใหม่ อัยการกลับคำสั่งฟ้องได้ ลั่นทำตามสำนวน รับสังคมกดดันจนต้องลาออก ขณะที่ผลสอบ"คกก.ตร."สรุป"เพิ่มพูน"ไม่บกพร่อง แต่"พงส.ชุดเก่า-พ.ต.อ.ธนสิทธิ์"โดน ม.157 พร้อมส่ง"อสส."ดำเนินคดี"บอส"ต่อ 2 ข้อหา"ขับรถประมาท-เสพโคเคน" ที่รัฐสภา เมื่อวันที่ 13 ส.ค.63 นายเนตร นาคสุข รองอัยการสูงสุด ที่สั่งไม่ฟ้องคดี นายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ บอส ทายาทเครื่องดื่มชูกำลังกระทิงแดง ขับรถชนเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ทองหล่อ เสียชีวิต เมื่อปี 2555 เดินทางมาพร้อมด้วย นายสมัคร ชวภานันทน์ ทนายความประจำครอบครัวอยู่วิทยา เข้าชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการ(กมธ.)การกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎ ซึ่งมี นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ เป็นประธานกรรมาธิการ โดย นายเนตร ชี้แจงว่า สำนวนคดีนี้มีถือว่าคำสั่งไม่ฟ้อง แต่ก็ยังสอบสวนได้ต่อตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 147 และหากได้พยานหลักฐานใหม่ที่สามารถให้ศาลลงโทษได้ ก็ส่งมาที่อัยการและพิจารณากลับคำสั่งได้ ซึ่งตรงนี้เป็นเรื่องธรรมดา พร้อมยกตัวอย่างว่าบางคดีมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องไปแล้ว พบหลักฐานใหม่ที่พอจะลงโทษผู้ต้องหาได้ก็ส่งมาที่อัยการ อัยการก็พิจารณากลับไปสั่งฟ้องได้ จากนั้นก็ดำเนินคดี นายเนตร ยังยืนยันด้วยว่า ได้สั่งคดีตามสำนวนที่ส่งมา ไม่มีการกระทำนอกสำนวนแต่อย่างใด ส่วนกรณีการลาออกจากตำแหน่งนั้นตนยอมรับว่าลาออกจริง เพราะสังคมกดดันสถาบันที่ตนทำงาน เพื่อความสบายใจของทุกคนจึงลาออก และเป็นการรักษาภาพลักษณ์ขององค์กร ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.อ.ศตวรรษ หิรัญบูรณะ ที่ปรึกษาพิเศษ ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.จารุวัฒน์ ไวศยะ ผู้ช่วย ผบ.ตร. ,พล.ต.ท.กฤษณะ ทรัพย์เดช จเรตำรวจ ,พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รอง ผบช.น. และคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงการใช้ดุลพินิจข้าราชการตำรวจกรณีไม่เห็นแย้งอัยการคดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือบอส ใช้เวลาชี้แจงนานกว่า 1 ชั่วโมง จึงเสร็จสิ้น โดย พล.ต.อ.ศตวรรษ กล่าวว่า วันนี้ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงของคณะกรรมการเสร็จสิ้นแล้ว โดย พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ได้สั่งเพิ่มเติม 3 ประเด็น คือ มีคำสั่งให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวน พล.ต.ท.เพิ่มพูน ชิดชอบ ผู้ช่วย ผบ.ตร. ว่า การไม่แย้งคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการ เป็นการกระทำที่ชอบหรือไม่ 2.ให้ตั้งชุดพนักงานสอบสวนทำคดีนี้ใหม่ โดยใช้พยานหลักฐานที่รวบรวมมาได้ใหม่ และ3.มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ 11 นาย ที่เคยเป็นผู้สอบสวนและทำคดีนี้ โดยระบุว่ามีกี่คนที่โดนลงโทษแล้ว และที่ไม่ได้โดนลงโทษ ว่าทำอะไรบ้าง ซึ่งบางคนยังมีการเลื่อนตำแหน่งอยู่ ด้าน พล.ต.ท.จารุวัฒน์ กล่าวว่า สำหรับผลการตรวจสอบความบกพร่องของ พล.ต.ท.เพิ่มพูน ชิดชอบ ไม่พบความบกพร่อง เนื่องจากการพิจารณาคำแย้งคำสั่งพนักงานอัยการ แย้งได้เฉพาะประเด็นข้อกฎหมาย กฎระเบียบ ว่าตามที่พนักงานอัยการกล่าวอ้างมาถูกต้องหรือไม่ โดยจะนำความในคำพิพากษาศาลฎีกา หรือความเห็นทางกฎหมายจากผู้เชี่ยวชาญประกอบเหตุผลการพิจารณา และพิจารณาจากข้อเท็จจริง พยานหลักฐานที่ปรากฎในสำนวนที่อัยการส่งมาเท่านั้น และแย้งได้เฉพาะประเด็นที่สามารถกลับความเห็นของพนักงานอัยการได้ ไม่มีอำนาจทำการสอบสวนพยานหลักฐานเพิ่มเติม หรือหยิบยกพยานหลักฐานนอกสำนวนมาพิจารณาได้ เนื่องจากอำนาจการสอบสวนเสร็จสิ้นแล้ว เมื่อส่งสำนวนให้พนักงานอัยการ ในประเด็นข้อเท็จจริงที่นำมาพิจารณาต้องประกอบด้วยพยานหลักฐานต่างๆ ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญอันสามารถหักล้างความเห็นไม่ฟ้องของพนักงานอัยการได้ โดยผู้ตรวจสำนวนพิจารณาในกองคดีอาญาทุกระดับ มีผู้พิจารณาก่อนเสนอ พล.ต.ท.เพิ่มพูน มี 4 ราย ซึ่งทุกคนมีอิสระในการเห็นแย้งหรือไม่แย้งคำสั่งของอัยการ โดยผู้ตรวจสำนวนทุกคนมีความเห็นไม่แย้งตรงกัน ส่วน พล.ต.ท.เพิ่มพูน ผู้มีอำนาจในการพิจารณาทำความเห็นไปตาม ป.วิอาญามาตรา 145/1 ไม่แย้งคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการ นอกจากนี้ คณะกรรมการตรวจพบความบกพร่องในการดำเนินคดีเรื่องยาเสพติดให้โทษ ที่ยังสามารถดำเนินการต่อไปได้ โดยได้สอบถามเพิ่มเติมจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สอบปากคำเภสัชกรผู้เชี่ยวชาญ แล้วพบว่าสารแปลกปลอม ทั้ง 2 ชนิด ที่เกิดในร่างกาย เกิดกระบวนการเปลี่ยนแปลงเมื่อได้รับโคเคน ร่วมกับการดื่มแอลกอฮอล์เท่านั้น การใช้ยาอะม็อกซีซิลลิน ไม่ทำให้เกิดสารแปลกปลอมดังกล่าวได้ ซึ่งกรณีความผิดการเสพโคเคน มีอัตราโทษจำคุก 6 เดือน ถึง 3 ปี หรือปรับ 1 หมื่น ถึง 6 หมื่นบาท และยังมีอายุความอยู่ เห็นควรให้พนักงานสอบสวนผู้มีอำนาจสอบสวนดำเนินคดีในเรื่องนี้ต่อไป อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน ผบ.ตร. ได้สั่งการว่าจะเข้ามาดูแลการสั่งคดีเรื่องแย้งความเห็นของพนักงานอัยการด้วยเองทุกคดี พล.ต.ท.จารุวัฒน์ ยังกล่าวอีกว่า ตนเข้าใจถึงความห่วงใยของพี่น้องประชาชน และมีความสนใจในเรื่องการทำคดีครั้งนี้ ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติยืนยันว่าจะไม่ปกป้องผู้กระทำผิด ใครผิดก็ว่าไปตามผิด ส่วนการกระทำความผิดของตำรวจหากพบจะมีการลงทันฑ์อย่างเด็ดขาด โดยขณะนี้จากการตรวจสอบพบเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีส่วนกับการกระทำความผิดตำแหน่งสูงสุดในขณะนั้นคือระดับรองผู้บัญชาการ แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าเป็นใคร เพราะตนเองไม่ใช่คณะกรรมการทางด้านวินัย แต่หนึ่งในนั้นมีชื่อของ พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ แตงจั่น นักวิทยาศาสตร์ สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ ที่จะต้องถูกสอบวินัย และดำเนินคดีตามประมาลกฎหมายอาญามาตรา 157 กับตำรวจทั้ง 14 นาย เป็นพนักงานสอบสวนชุดเก่า 11 นาย และชุดใหม่ 3 นาย ที่เกี่ยวข้อง