ฤดูกาล 2018-2019 ถือเป็นช่วงเวลาที่ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล มีผลการแข่งขันที่ดีที่สุดในรอบกว่า 30 ปี แต่ก็ไม่ดีพอ ที่จะคว้าโทรฟี่แชมป์มาครอบครองได้ แม้จะพลาดท่าพ่ายแพ้เพียงนัดเดียวก็ตาม ความฝันของเหล่า “เดอะค็อป” ทั่วโลก แน่นอนคือ การเห็น “ทีมรัก” คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก มาครอบครองให้จงได้ หลังต้องตกเป็นเบี้ยล่างให้ ทั้ง “ผีแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ซิตี้ รวมทั้ง “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี แต่จนแล้วจนรอด “ความฝัน” ของเหล่า “เดอะค็อป” ก็เป็นจริงสักที หลังการนำทีมของชายชื่อ “เยอร์เกน คลอปป์” ที่เข้ามา สร้างทีม ที่แฝงไปด้วยเกมรุกที่จัดจ้าน การเข้าบอลโดยเน้นเพรสซิ่ง ที่รวดเร็ว จนกดดันไม่ให้คู่แข่งสามารถทำเกมได้ “คลอปป์” เปรียบเปรยสไตล์ฟุตบอลของเขา ว่าเป็น “เฮฟวี่ เมทัล ฟุตบอล” เพราะมันดูดุดัน และก้าวร้าวเหมือนดนตรีเฮฟวี่ เมทัล แต่เหนือจากแท็คติกใด ๆ สิ่งที่ “คลอปป์” ต้องการจากนักเตะมากที่สุดคือเรื่องของสปิริตและหัวจิตหัวใจ ที่แข็งแรงในการเล่นฟุตบอล และการสร้างความสัมพันธ์ในห้องแต่งตัวที่ดี ทั้งหมดนี้มาจากแพสชั่น ที่“คลอปป์” มีให้กับทีม และใช้เวลาไม่นานก็สามารถผสานรอยร้าวทั้งหมด จนทำให้ทีม “หงส์แดง”กลับมาบินสูงกลายเป็นยอดทีมได้อีกครั้ง แน่นอนการพาทีมผงาดคว้าแชมป์ลีกสูงสุดบนเกาะอังกฤษในครั้งนี้ ของ “คลอปป์” จนกลายเป็นผู้จัดการทีมคนแรกจากเยอรมนี ที่สามารถพาทีมเป็นแชมป์ลีกได้ ในหน้าประวัติศาสตร์ของทีมตลอด 128 ปี และถือเป็นการสิ้นสุดการรอคอยที่ยาวนานกว่า 3 ทศวรรษ หลังเคยลิ้มรสความหอมหวนครั้งสุดท้าย เมื่อฤดูกาล 1989-1990 ภายใต้แชมป์ลีกสูงสุดเดิม หรือ ดิวิชั่น 1 “คลอปป์” เริ่มต้นเส้นทางลูกหนัง ด้วยการเป็นนักฟุตบอลให้กับทีมไมนซ์ 05 ในตำแหน่งกองหน้า ก่อนที่ช่วง 5 ปีหลังของการค้าแข้งเขาเปลี่ยนตำแหน่งของตัวเองมาเล่นเป็นกองหลังตัวกลาง ตลอด 12 ฤดูกาลที่เขาค้าแข้งกับไมนซ์ “คลอปป์” ลงสนามไปทั้งสิ้น 338 นัดยิงได้ 52 ประตู ก่อนที่เขาจะยุติเส้นทางการเป็นนักฟุตบอลอาชีพด้วยวัยเพียง 33 ปี หลังจากประกาศแขวนสตั๊ด “คลอปป์” เปลี่ยนบทบาทของตัวเองมารับบทผู้จัดการทีม “ไมนซ์” ในช่วงข้ามคืน ซึ่งก่อนหน้านั้นเขาไม่เคยได้รับการอบรมการเป็นโค้ชมาก่อนเลย “คลอปป์” ใช้เวลาไม่กี่ฤดูกาลก็สร้างปรากฏการณ์พา “ไมนซ์” เลื่อนชั้นมาเตะในบุนเดสลีกาได้สำเร็จ แม้อีก 3 ฤดูกาลต่อมาไมนซ์จะตกชั้นลงไปอีกครั้งก็ตาม ในช่วงเวลาดังกล่าว “คลอปป์” เลือกที่จะยังอยู่กับทีมต่อไปแม้ทีมกำลังจะตกชั้น แต่ในฤดูกาล 2008-2009 เขาไม่สามารถพาทีมกลับขึ้นมาประสบความสำเร็จได้ จึงตัดสินใจลาออกจาก “ไมนซ์” เพื่อไปรับตำแหน่งเป็นผู้จัดการทีมของ “เสือเหลือง” โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ภายใต้การคุมทีม “เสือเหลือง” ของ “คลอปป์” เขาพาทีม “เสือเหลือง”กวาดแชมป์มากมาย และหนึ่งในนั้นคือการโค่นมหาแชมป์อย่าวง “เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิก ให้ร่วงลงจากบัลลังก์ฟุตบอลเยอรมนี รวมถึงทะลุเข้าชิงยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ในฤดูกาล 2012-2013 แต่แล้วในฤดูกาลต่อมาทุกอย่างที่เขาสร้างก็พังทลายลง เมื่อ “ดอร์ทมุนด์” เริ่มต้นฤดูกาล 2014-2015 ได้อย่างย่ำแย่ "คลอปป์" ทำทีมตกไปอยู่ในโซนตกชั้นจนหลายคนตั้งคำถามกับเขาว่า เกิดอะไรขึ้น แม้ท้ายที่สุด “คลอปป์” จะพาทีมกลับขึ้นไปอยู่ในโซนหัวตารางได้ แต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจไขก๊อกลาออกจากดอร์ทมุนด์ เพื่อมารับงานเป็นผู้จัดการทีม “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ในวันที่ 8 ตุลาคม 2015 โดย “คลอปป์” ได้บรรลุข้อตกลง 3 ปีในการคุม “หงส์แดง” แทนที่ “เบรนแดน ร็อดเจอร์ส” ผู้จัดการทีมชาวไอร์แลนด์เหนือคนเก่า การประเดิมงานครั้งแรกของเขาจบลงด้วยผลการบุกไปเสมอ “ไก่เดือยทอง” ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ 0-0 เมื่อ 17 ตุลาคม 2015 จากนั้นวันที่ 28 ตุลาคม 2015 “คลอปป์” ก็พาทีมชนะเป็นครั้งแรกในเกมเชือด “บอร์นมัธ” 1-0 ในถ้วย ลีก คัพ ส่งผลให้ทีมเข้ารอบควอเตอร์ไฟนอลต่อไป ขณะที่ 3 แต้มแรกบนเกม พรีเมียร์ ลีก เกิดขึ้นในเกมที่บุกไปถล่ม “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี 3-1 ถึง สแตมฟอร์ด บริดจ์ และผลงานที่สุดลือลั่นสำหรับพลพรรค “เดอะค็อป” คงหนีไม่พ้น แมตช์ที่ออกไปสอนบอล “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ เอติฮัด สเตเดียม ด้วยสกอร์ 4-1 ซึ่งกลายเป็นผลการแข่งขันที่ย่อยยับที่สุดในบ้านของทีม “เรือใบสีฟ้า” ในรอบ 12 ปี ความยอดเยี่ยมของ “คลอปป์” ในการพาทีม “หงส์แดง” คว้าแชมป์ในครั้งนี้ นับเป็นจุดเริ่มต้นของการพาทีมสู่จุด ”สูงสุด” อีกครั้ง หลังต้องเป็นเพียงทีมรองบ่อน ให้กับบรรดาทีม “เงินถุงเงินถัง” ที่มีเงินให้ถลุงชนิดอยากได้นักเตะคนไหนก็ไปคว้าตัวมา ตรงข้ามกับ “หงส์แดง” อย่างสิ้นเชิง หลัง “คลอปป์” เข้ามาคุมบังเหียน เพราะผู้เล่นแต่ละรายที่เข้ามาสวมเสื้อ “หงส์แดง” ต้องเป็นคนที่มีจิตใจเด็ดเดี่ยว เห็นทีมสำคัญที่สุด และที่สำคัญ ต้องเหมาะสมกับระบบของทีม แต่หากไม่มีใจ ก็อย่าหวังได้เข้ามาเป็นหนึ่งในสมาชิก “หงส์แดง” ได้เลย คงต้องยอมรับว่า “ชั่วโมงนี้” หรือ “นาทีนี้” นักเตะจากทั่วโลก “สตาร์ดังๆ” ไม่ปิดโอกาสตัวเอง ที่จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง ในทีมของ “คลอปป์” ด้วยสไตล์การทำทีมแบบ “เฮฟวี่ เมทัล ฟุตบอล” ที่นักเตะสุดจะหลงใหล และคงยากที่ใครจะปฎิเสธชายชื่อ“คลอปป์” ได้ และนับจากนี้ไป ทีมระดับบิ๊กของพรีเมียร์ลีก คงได้แต่มอง “ตากระพริบ” ที่เห็นทีม“หงส์แดง” กลายเป็นทีมเบอร์หนึ่ง เดินหน้ากวาดแชมป์เป็นว่าเล่น และทำให้ “เดอะค็อป” ทั่วโลกวาดฝันไปได้อีกนานแสนนาน