"บิ๊กตู่" เผยเห็นโฉมหน้าครม.ใหม่ไม่เกินกลางสค.นี้ ยอมรับห่วงม็อบชนม็อบ ย้ำไม่ห้ามแต่อย่างผิดกม. กำ ชับจนท.ดูแลใกล้ชิด "เทพไท" หวั่นม็อบนักศึกษา จุดฉนวนปฎิวัติซ้อน ทำบ้านเมืองพังเสียหายยับเยิน วอนทุกฝ่ายหันหน้าร่วมหาทางออกปลดล็อคแก้รธน.ฉบับปชช. ด้าน "สุทิน" แนะ "นักศึกษา-นิสิต-ประชาชน"ยื่นร่างแก้รธน. กระตุ้นรบ. เสนอร่างประกบ ส่วน "ก้าวไกล"ชงตั้ง"สสร."แก้รธน.-ปิดสวิตช์"ส.ว." ยกเลิกการรับรองคำสั่ง คสช. ส่วน"วัชระ" จี้"นายกฯ-อสส." รื้อฟื้นคดี "โอ๊ค" ทุจริตเงินปล่อยกู้แบงก์กรุงไทย 10 ล้านบาทเหมือนคดี "บอส" ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 29 ก.ค.63 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงความคืบหน้ารายชื่อคณะรัฐมนตรี(ครม.)ชุดใหม่ ว่า ได้ดำเนินการในส่วนของตนป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งขั้นตอนต่อไปก็จะทำหลักฐานและเอกสารทั้งหมด เพื่อทูลเกล้าฯ ให้เป็นไปตามวันเวลาที่กำหนด โดยย้ำว่าไม่เกินกลางเดือนส.ค.นี้ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงการชุมนุมของกลุ่มอาชีวะช่วยชาติ ร่วมชุมนุมปกป้องสถาบันหลังมีกลุ่มนิสิต นัก ศึกษา ออกมาชุมนุมเคลื่อนไหว ว่า มีความเป็นห่วงและได้พูดคุยกับกระทรวงที่เกี่ยวข้องรวม ถึงนักศึกษากลุ่มดังกล่าวว่าอย่าเคลื่อนไหวเวลานี้ เพราะจะเกิดความขัดแย้ง และทุกอย่างก็จะกลับไปสู่ที่เดิม ซึ่งเขาก็รับปาก อย่างไรก็ย้ำว่าการชุมนุมของนักศึกษาเป็นสิทธิ แต่ถ้าถามว่ามีความเป็นห่วงหรือไม่ ตนห่วงที่สุดเพราะทุกคนล้วนเป็นบุคลากรของชาติในอนาคต และมีแรงขับเคลื่อนสูง ซึ่งต้องเข้าใจกระบวนการ การแก้ปัญหาหรือเปลี่ยนแปลงอะไรด้วย ที่สำคัญต้องไม่ใส่ร้ายสิ่งที่ไม่บังควร โดยกำชับไม่ให้กลุ่มผู้ชุมนุมเผชิญหน้ากันและให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดูแลอย่างใกล้ชิด ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงท้าย นายกฯ กล่าวว่า วันนี้ขอร้องสถานการณ์บ้านเมืองให้เรียบร้อย อะไรร้อนๆ ขอให้ลดลงกันบ้าง ด้าน นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการชุมนุมของกลุ่มนิสิตนักศึกษาว่า ภาษาการเมืองเรียกว่าม็อบจุดติดแล้ว และมีความพยายามหาจุดอ่อน เพื่อดิสเครดิตทำลายความน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะประเด็นการจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูง ซึ่งทุกครั้งที่มีการชุมนุมจะมีการหยิบประเด็นนี้ ขึ้นมาสร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้นและขณะนี้ได้มีการจัดตั้งกลุ่มนักศึกษาอาชีวะช่วยชาติ รวมพลังปกป้องสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ซึ่งเป็น การจัดตั้งม็อบชนม็อบ จึงเป็นเรื่องที่น่าวิตกเพราะเป็นลักษณะเกลือจิ้มเกลือ และจัดตั้งกลุ่มนักศึกษาให้มาปะทะกัน สุดท้ายนำไปสู่ความขัดแย้งที่คนไทยต้องฆ่ากันตาย ซึ่งไม่อยากให้ประวัติศาสตร์กลับมาซ้ำรอย จึงอยากเรียกร้องให้แกนนำนักศึกษาแสดงท่าทีชัดเจน และเรียกร้องกลุ่มผู้มีอำนาจที่มีความคิดจัดตั้ง กลุ่มต่อต้านนักศึกษาขึ้นมา เพื่อนำไปสู่สถานการณ์ที่ขัดแย้ง และเป็นการสร้างเงื่อนไขขึ้นมา เพื่อปฏิวัติยึดอำนาจซ้อนอีกครั้ง จึงขอให้ทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากันร่วมกันหาทางออก ปลดล็อกการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ให้มาจากประชาชนอย่างแท้จริง และยึดโยงประชาชน ถ้ายังถือทิฐิถือดีกัน ก็จะขัดแย้งไม่สิ้นสุด และบ้านเมืองจะพังเสียหายยับเยิน ส่วน นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวถึงการแก้ไขรัฐ ธรรมนูญ ว่า ในฐานะคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาหลักเกณฑ์และแนวทางแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ได้มีการพูดคุยเบื้องต้นกับกรรมาธิการของพรรคเพื่อไทย ว่า ในการประชุม กมธ.ในวันที่ 31 ก.ค. จะหยิบยกเรื่องการกระชับเวลาในการศึกษามาหารือและตั้งเป้าว่าจะเสนอเข้าสภาฯ ภายในเดือนส.ค.นี้ ดังนั้น ขั้นตอนการศึกษาควรจะเสร็จอย่างช้าวันที่ 10 ส.ค. จากนั้นก็นำเรื่องเข้าสู่สภาฯ และร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเสนอได้ก่อนปิดสมัยประชุมนี้ "ผมขอแนะนำว่าอยากให้ภาคประชาชนไม่ว่าจะเป็นนิสิต นักศึกษา ประชาชน หรือองค์กรต่างๆ ให้เสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญได้เลยไม่ต้องรอกมธ. เนื่องจาก กมธ.เป็นการศึกษาของสภาฯส่วนหนึ่ง ซึ่งประชาชนสามารถยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญได้เหมือนกัน เพื่อกระตุ้นให้กรรมาธิการและรัฐบาล เร่งทำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาประกบ ให้ ได้เร็วขึ้น" นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อม ส.ส.แถลงย้ำข้อเสนอแก้ไขวิกฤต ทางการเมือง 5 ข้อ คือ การยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน , ทบทวนคดีความทางการเมือง , เลิกคุกคามนักศึกษาและผู้ชุมนุม, นายกฯต้องลาออก, แก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยจัดตั้ง สสร. ที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่กำหนดวุฒิการศึกษาและมีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไปและขอให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญมาตรา 269, 270, 271, 272 เกี่ยวกับการสรรหาส.ว.และอำนาจในการปฏิ บัติหน้าที่ของ ส.ว. รวมทั้งยกเลิกมาตรา 279 เรื่องการรับรองประกาศและคำสั่ง คสช.ให้ชอบด้วยกฎหมาย ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล นายวัชระ เพชรทอง อดีตส.ส.ประชาธิปัตย์ ยื่นหนังสือถึง พล. อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม และนายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ อัยการสูงสุด เพื่อขอให้รื้อฟื้นคดี นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ในคดีฟอกเงินทุจริตเงินปล่อยกู้แบงก์กรุงไทยจำนวน 10 ล้านบาท เช่นเดียวกับคดี นายวรยุทธ์ อยู่วิทยา หรือบอส จากการที่สำนักงานอัยการสูงสุดมีคำสั่งไม่ฟ้องคดีทุกข้อกล่าวหา และสำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่แย้งคำสั่งของอัยการ โดยนายวัชระ กล่าวว่า คดีดังกล่าวสร้างความเสียหายต่อความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมของประเทศ รวมทั้งนานาประเทศจะไม่เชื่อถือระบบความยุติธรรมของประเทศไทย จนอัยการสูงสุดต้องมีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานตรวจรายการพิจารณาคดี ซึ่งนายกฯ ยืนยันกรณีนี้ว่าไม่เคยช่วยเหลือใคร ไม่เคยแทรกแซงการทำงานของหน่วยงานกระบวนการยุติธรรม และไม่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้อง ส่วนตัวมองว่าคดีทั้งสองเป็นเรื่องทำนองเดียวกัน การที่นายเนตร นาคสุข รองอธิบดีอัยการ ปฏิบัติหน้าที่แทนอัยการสูงสุด สั่งไม่อุทธรณ์คดี นายพานทองแท้ เป็นการสั่งตัดตอนความยุติธรรมไม่ให้เข้าสู่การพิจารณาของศาลทุจริต และประพฤติมิชอบในชั้นอุทธรณ์ สร้างความคลางแคลงใจต่อสังคม เพราะคำพิพากษาศาลชั้นต้นผู้พิพากษาหัวหน้าคณะมีความเห็นแย้งให้ลงโทษจำคุกนายพานทองแท้ จึงขอให้นายกฯ สั่งรื้อฟื้นคดีนายพานทองแท้เหมือนคดีของนายวรยุทธ