กอนช. จัดประชุมเชิงปฏิบัติการตามข้อสั่งการรองนายกฯ ระดมสมองผู้แทน 14 หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หาแนวทางเพิ่มประสิทธิภาพน้ำไหลลงอ่างฯ เล็งดึงอ่างฯ น้ำน้อยสุด ปูทางโครงการนำร่องรับฝนตกหนัก ส.ค.-ก.ย. นี้ เมื่อวันที่ 29 ก.ค. ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง “แนวทางและวิธีการเพิ่มประสิทธิภาพปริมาณน้ำไหลลงอ่าง” โดยมีผู้แทนจาก สทนช. และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง จำนวน 14 หน่วยงาน อาทิ กองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพบก กองทัพอากาศ หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ เป็นต้น เข้าร่วมประชุมณ ห้องชนกนันท์ ชั้น 2 โรงแรมเอบีน่า เฮ้าส์ ถนนวิภาวดีรังสิต เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร ว่า จากการติดตามสถานการณ์น้ำของประเทศในภาพรวมอย่างใกล้ชิด พบว่า แม้ว่าในระยะที่ผ่านมาจะมีฝนตก แต่ปัญหาที่พบคือปริมาณน้ำที่ไหลเข้าสู่อ่างเก็บน้ำต่าง ๆ ยังคงมีปริมาณน้อย โดยปริมาณน้ำรวมทั้งประเทศในขณะนี้มีจำนวน 33,829 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) หรือ คิดเป็นร้อยละ 41 เป็นปริมาณน้ำใช้การเพียง 10,036 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็นร้อยละ 17 เท่านั้น ดังนั้น พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) จึงได้มีข้อสั่งการให้ สทนช. จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการนี้ขึ้น เพื่อหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องวิเคราะห์สาเหตุ ปัจจัยที่มีผลต่อปริมาณน้ำไหลลงอ่างฯ รวมถึงปัญหาอุปสรรคที่ส่งผลทำให้น้ำไม่สามารถไหลลงอ่างฯ ได้ หรือมีการสูญหายไประหว่างทาง โดยเฉพาะแหล่งเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั่วประเทศ เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนบรรเทาปัญหาภัยแล้งและรองรับสถานการณ์ฝนที่กำลังจะมาถึง เนื่องจากกรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) ได้มีการคาดการณ์สภาพภูมิอากาศในช่วงฤดูฝนนี้ว่า จะมีฝนตกชุกหนาแน่นและตกหนักในหลายพื้นที่ในระหว่างเดือนสิงหาคม-กันยายน 2563 รวมถึงมีโอกาสที่อาจจะมีพายุหมุนเขตร้อนเคลื่อนผ่านด้วย สำหรับการประชุมเชิงปฏิบัติการในวันนี้ได้รับการสนับสนุนข้อมูลจากกรมชลประทานและการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นหน่วยงานผู้รับผิดชอบอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ 35 แห่งทั่วประเทศ เป็นแหล่งน้ำนำร่องที่จะวิเคราะห์หารือแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บกักน้ำร่วมกัน โดยมีการร่วมระดมความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ใน 4 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1) สาเหตุที่ปริมาณน้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำน้อยลง อาทิ ความชื้นในดิน ปริมาณน้ำฝนเปรียบเทียบค่าเฉลี่ย การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ฯลฯ 2) แนวทางและวิธีการเพิ่มประสิทธิภาพปริมาณน้ำไหลลงอ่าง ได้แก่ ระบบการส่งน้ำ ระบบการผันน้ำ ด้วยแรงโน้มถ่วงหรือการสูบน้ำ และปริมาณน้ำขั้นต่ำที่ต้องการนำมาเติมอ่างเก็บน้ำ 3) การกำหนดพื้นที่เป้าหมายปรับปรุงประสิทธิภาพการกักเก็บน้ำในแหล่งน้ำขนาดใหญ่ในระยะเร่งด่วน 4) กรอบระยะเวลาการดำเนินงานและงบประมาณ “จากสถานการณ์น้ำของอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ในภาพรวมปัจจุบันถือว่ามีน้ำในปริมาณน้อยมาก แม้ว่าจะเกิดฝนตกแต่น้ำกลับไหลเข้าอ่างฯได้ไม่มากเท่าที่ควร การระดมความรู้และความคิดเห็นในวันนี้จึงถือเป็นกระบวนการสำคัญที่จะช่วยให้เกิดแนวทางในการเพิ่มประสิทธิภาพของอ่างเก็บน้ำในการกักเก็บน้ำ ซึ่งจะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาขาดแคลนน้ำ รวมทั้งยังช่วยรองรับน้ำฝนบรรเทาสถานการณ์น้ำท่วมอีกด้วย ทั้งนี้ จะมีการคัดเลือกอ่างเก็บน้ำที่มีปริมาณน้อยที่สุดหรือคาดการณ์ว่าจะมีปริมาณน้ำไม่เพียงพอในฤดูแล้งถัดไปเพื่อมาเป็นโครงการนำร่อง รองรับปริมาณน้ำฝนที่คาดการณ์ไว้ในช่วงเดือนสิงหาคมถึงกันยายนนี้ ก่อนจะขยายผลไปสู่อ่างเก็บน้ำแห่งอื่นๆ ต่อไปในการสำรองน้ำต้นทุนให้เพียงพอในอนาคต”ดร.สมเกียรติ กล่าว