กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) มีมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ว่า มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 31.40-31.75 ต่อดอลลาร์เทียบกับระดับปิดแข็งค่าเล็กน้อยที่ 31.70 ต่อดอลลาร์เมื่อสัปดาห์ที่แล้วหลังเงินบาทแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบเกือบ 2 เดือน ท่ามกลางปริมาณธุรกรรมที่ค่อนข้างหนาแน่น ทั้งนี้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้น 6.6 พันล้านบาท แต่ซื้อพันธบัตรสุทธิ 1.3 พันล้านบาท ขณะที่เงินยูโรแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 1 ปีครึ่งหลังสหภาพยุโรป (อียู) บรรลุข้อตกลงเรื่องกองทุนฟื้นฟูขนาด 7.5 แสนล้านยูโร นับเป็นก้าวสำคัญสู่เอกภาพทางด้านการคลังของยุโรป ทั้งนี้มองว่าตลาดจะให้ความสนใจการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) วันที่ 28-29 ก.ค.63 โดยนักลงทุนคาดว่าเฟดจะให้คำมั่นที่จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 0-0.25% ต่อไปและประเมินเศรษฐกิจในเชิงลบมากขึ้นท่ามกลางความกังวลว่าสหรัฐฯ อาจจะไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19 นอกจากนี้ตลาดจะจับตาข้อมูลจีดีพีไตรมาส 2 ของสหรัฐฯ รวมถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับการใช้มาตรการด้านการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ ขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯกับจีนอาจมีผลต่อบรรยากาศการลงทุนด้วยเช่นกัน หลังจีนสั่งปิดสถานกงสุลสหรัฐฯในเมืองเฉิงตูเพื่อตอบโต้สหรัฐฯ ซึ่งสั่งปิดสถานกงสุลของจีนในเมืองฮูสตัน อนึ่งการเหวี่ยงตัวขึ้นของราคาทองคำสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์จากหลากหลายปัจจัยหนุน นำโดยการปรับลดลงอย่างต่อเนื่องของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่แท้จริง (Real Yields) ของสหรัฐฯจะเพิ่มความผันผวนให้กับค่าเงินบาทได้อีกทางหนึ่ง สำหรับปัจจัยในประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่าการดูแลอัตราแลกเปลี่ยนไม่ได้มุ่งหวังที่จะบิดเบือนค่าเงินเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการค้าและการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทเป็นไปได้ทั้ง 2 ทิศทางตามเงินทุนเคลื่อนย้ายที่ผันผวน ส่วนกระทรวงพาณิชย์รายงานยอดการส่งออกเดือนมิถุนายนหดตัว 23.17% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่การนำเข้าลดลง 18.05% ส่งผลให้ไทยเกินดุลการค้า 1.61 พันล้านดอลลาร์ และสำหรับในช่วงครึ่งปีแรก การส่งออกลดลง 7.09% ส่วนการนำเข้าหดตัว 12.62% และเกินดุลการค้า 1.07 หมื่นล้านดอลลาร์ ประเมินว่าการส่งออกของไทยจะยังเผชิญแรงกดดันจากภาวะซบเซาของอุปสงค์ในประเทศคู่ค้า อีกทั้งการนำเข้าที่ฟื้นตัวช้ายังคงสะท้อนแนวโน้มกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศและการส่งออกที่อ่อนแอ