หอการค้าไทยรับโควิดไม่จบ สงครามการค้ารอบใหม่ส่งผลทั้งปีส่งออกส่อติดลบ9.6 ต่ำสุดในรอบ 10 ปี ขณะที่ครึ่งปีหลังอาจติดลบถึงร้อยละ 19.8 จับตาค่าเงินบาทปัจจัยสำคัญฉุดหรือฟื้นส่งออกไทย วอนรัฐลดภาษีเงินได้-มูลค่าเพิ่มเติมเงินในกระเป๋าชาวบ้าน นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการ ศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า มูลค่าการส่งออกไทยในปี 2563 จะอยู่ในระดับ 222,744 ล้านดอลลาร์ มีโอกาสจะหดตัวถึง -9.6% ซึ่งถือเป็นการส่งออกที่ติดลบหนักในรอบ 10 ปี โดยอยู่ภายใต้เศรษฐกิจโลกปีนี้หดตัว -5% เศรษฐกิจไทยหดตัว -7.7% ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกเฉลี่ยอยู่ที่ 40 ดอลลาร์/บาร์เรล ค่าเงินบาท 31 บาท/ดอลลาร์ โดยทั้งนี้ ม.หอการค้า คาดว่าการส่งออกในช่วงครึ่งปีหลังอาจจะติดลบเพิ่มขึ้นเป็น -12 ถึง -19.8% จากครึ่งปีแรกที่หดตัว -7.1% เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัว เพราะปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดที่ยังไม่คลี่คลาย ปัจจัยเสี่ยงของการส่งออกไทยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ยังคงมีอยู่มากไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิดที่ยังคงยืดเยื้อ,เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าอยู่ในภาวะหดตัว,ประเด็นสงครามการค้าที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี ค่าเงิน และสิทธิมนุษยชน,ความต้องการนำเข้าสินค้าของประเทศคู่ค้าลดลง,ราคาน้ำมันที่ทรงตัวในระดับต่ำ,มาตรการล็อกดาวน์ของประเทศต่างๆ เป็นต้น ขณะเดียวกันยังคงมีปัจจัยบวกที่ช่วยเอื้อต่อการส่งออกในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ได้แก่ การผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์ของประเทศต่างๆ และเงินบาทที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับปี 62 แต่ยังมีปัจจัยต้องติดตามคือ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ของจีน-อินเดีย และสหรัฐฯ-จีน-ฮ่องกง รวมถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯในเดือน พ.ย.63 ทั้งนี้หากค่าเงินบาทในช่วงครึ่งปีหลังมีความผันผวนอาจจะพลิกจากปัจจัยบวกเป็นปัจจัยลบต่อการส่งออกของไทยได้ เนื่องจากหากเงินบาทไม่อ่อนค่าตามที่ประเมินไว้ จะทำให้การส่งออกปีนี้ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย และมีโอกาสจะหดตัวได้มากสุดถึง -13.5% โดยแนวโน้มเงินบาทที่คาดว่าจะอ่อนค่าลงในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากทิศทางค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19,สัญญาณตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯและจีนในประเด็นของฮ่องกง ความขัดแย้งในทะเลจีนใต้ ซึ่งสถานการณ์เหล่านี้ทำให้มีแรงซื้อดอลลาร์สหรัฐฯในฐานะสกุลเงินที่ปลอดภัยมากขึ้น สำหรับสถานการณ์โควิดทำให้มูลค่าการส่งออกของไทยในปี 63 หายไป 13,647-33,190 ล้านดอลลาร์ โดยอุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าจะได้รับผลกระทบหนักสุด อย่างไรก็ดียังมีโอกาสของสินค้าไทยภายใต้สถานการณ์โควิดได้แก่ สินค้าอาหารแปรรูป-เครื่องดื่ม และถุงมือยาง ทั้งนี้ภาคธุรกิจควรจะมีการปรับตัวในแง่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างธุรกิจ Online Grocery,การทำ Cost Sharing ในกลุ่มคลัสเตอร์ เพื่อลดภาระต้นทุน,การขยายตลาดในประเทศโดยสร้างโปรโมชั่นที่จูงใจ,การปรับปรุงเครื่องจักรที่ล้าสมัย, การพัฒนาศักยภาพแรงงาน และการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ให้สวยงาม เป็นต้น ขณะเดียวกัน ภาครัฐควรให้การช่วยเหลือภาคธุรกิจในด้านต่างๆ เช่น การสนับสนุนเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ เพื่อปรับปรุงเครื่องจักรและการดำเนินธุรกิจ,จัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดทั้งภายในและภายนอกประเทศ,กระตุ้นการบริโภคและการลงทุนในประเทศ,ใช้กลยุทธ์ด้านราคาเพื่อเข้าสู่ตลาดที่กำลังฟื้นตัว,ลดภาระค่าใช้จ่ายให้ผู้ประกอบการและประชาชนด้วยการยกเว้นภาษี เป็นต้น โดยสิ่งที่อยากเห็นคือการลดภาระค่าใช้จ่ายให้ประชาชนและภาคธุรกิจ เพื่อเป็นการเติมเงินในทางอ้อมให้แก่ผู้บริโภคโดยปริยาย เพราะตอนนี้ คนชั้นกลางลงมาแทบไม่มีเงินจะจับจ่ายใช้สอยภาษีที่เห็นว่าควรจะลดลงคือ ภาษีเงินได้ และภาษีมูลค่าเพิ่ม สำหรับประเทศไทยมีความจำเป็นต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในระยะ 10 ปีจากนี้ไป ใน 3 ส่วนที่สำคัญ ประกอบด้วย การลดการพึ่งพาการส่งออกให้น้อยลงจากปัจจุบันที่มีสัดส่วนสูงถึง 70%,ผลักดันผู้ประกอบการ เอสเอ็มอีให้มีความเข้มแข็งเทียบเท่าผู้ประกอบการรายใหญ่ โดยทำให้สินค้าของกลุ่มเอสเอ็มอีปรับจาก Local Brand ไปสู่ Global Brand และการผลักดันให้เกษตรกรไทยก้าวไปสู่การเป็น Smart Farmer รู้เท่าทันตลาดต่างประเทศ